Flag Counter

free counters

Teddy in real life. Young to the bae. G to the D.

And they are in the same room! Let's hail my boys BIGBANG!

Meet Aliens from Mato Planet!

My beloved rookies group of year 2012. They are Best.Absolute.Perfect. B.A.P

Tablo, Mitha Jin, and Tukultz.

EPIK HIGH, everything about them is EPIK.

Perfect Human Being is here.

T.O.P aka Choi Seung Yong, black chocolate and almond voice of BIGBANG.

BIGBANG Still Alive.

We'll be more than they'll ever be.

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ แทยัง จากนิตยสาร W Korea ฉบับเดือนเมษายน 2011




W: ในบรรดาสมาชิกในวง คุณเป็นคนที่มีงานเพลงมากกว่าคนอื่นๆเลยในปีที่ผ่านมา
แต่ดูเหมือนว่า คุณจะรู้สึกผิดหวังเล็กๆที่ไม่ได้โปรโมทผ่านรายการทีวีหรือได้ทำกิจกรรมมากตามสมควร
คุณได้ประเมินผลตัวเองในงานอัลบั้มเดี่ยวแบบเต็มอัลบั้มครั้งแรกของคุณ ออกมายังไงบ้างค่ะ?


YB:มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้แล้วละครับ
ผมมั่นใจว่าคนที่ชอบผมก็ต้องการที่จะเห็นผมบนเวทีมากกว่านี้
และผมก็อยากจะขึ้นเวทีมากกว่านี้ด้วยครับ
แต่พอมาคิดดูแล้ว ผมคิดว่าผมก็ทำดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้ว ครับ


W:คุณคิดยังไงกับการแสดงของวงยูนิตพิเศษ GDและท็อปค่ะ??

YB: ใจนึง ผมก็รู้สึกอิจฉาพวกเค้ามากๆๆเลยครับ ผมอิจฉาเพราะพวกเค้าได้อยู่ด้วยกัน
และเพราะพวกเค้าได้ทดลองทำอะไรหลายๆอย่างในอัลบั้มนั้น
ผมคิดว่าในอนาคต เราจะได้ลองทำกิจกรรมที่เป็นยูนิตพิเศษแบบนี้ในหมู่สมาชิก
ไม่ใช่มุ่งไปที่การทำอัลบั้มเต็มในนามของบิกแบง เพียงอย่างเดียว
ผมพูดเรื่องนี้เป็นครั้งแรกผ่านการสัมภาษณ์ของนิตยสาร W นะครับ
แต่ผมจะ นำเสนอการทำงานของผมกับจียงออกมาครับ
ผมไม่รู้ว่า เพลงจะออกมาเป็นประเภทไหน แต่เรากำลังมองไปที่อะไรที่มันแปลกใหม่
เค้าเป็นเพื่อนที่มีความตั้งใจแน่วแน่มากครับ และเป็นเพราะว่าสไตล์ของเราทั้งคู่ก็แตกต่างกันสุดขั้ว
ผมคิดว่ามันจะต้องเป็นการทำงานที่สมน้ำสมเนื้อกันแน่ๆ ผมขอแค่เราทำเพลงพิเศษออกมาซักสองสามเพลง
แต่ถ้าเราทำงานร่วมกันตั้งแต่เริ่มแรก ผมคิดว่าจะต้องมีอะไรดีๆออกมาแน่เลยครับ


วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ แดซอง จากนิตยสาร W Korea ฉบับเดือนเมษายน 2011




W:ในช่วงเวลาที่ สมาชิกคนอื่นๆต่างก็ยุ่งในเรื่องของงานเดี่ยวกันทั้งนั้นยกเว้นแดซอง
แต่ถึงยังไงก็ตาม แดซอง ดูเหมือนว่าจะมีความปรารถนาที่อยากจะร้องเพลงมากที่สุดนะค่ะ

DS: ผมอยากที่จะขึ้นเวทีมากเลยครับ ในช่วงระยะเวลานี้ผมอยู่ในช่วงการเตรียมการอัลบั้มเดี่ยวของผมครับ
แต่ที่มันต้องเลื่อนออกไปก็เพราะว่าผมต้องไปถ่ายละครซึ่งเพิ่งจะมีการถ่ายทำจบลงไปเมื่อไม่นานมานี้เอง


W: เสียงที่ โดดเด่นมากที่สุด ในช่วงไคลแม็กซ์ของเพลง Cafe เป็นท่อนของแดซองนะค่ะ
DS: โดยรวมแล้ว สภาพเสียงของผมนั้นมีอิทธิพลอย่างมากเลยครับ ผมไม่สามารถที่จะร้องในคีย์ falsettoได้
จริงๆท่อนเข้าverse แรกนั้นควรจะเป็นท่อนของยองเบครับ
ผมถูกแนะนำให้ใช้เสียงในแบบปกติของผมร้องในท่อนเข้า verse ที่ 2
เพื่อที่จะให้มันถึงจุดไคลแม็กซ์ของเพลงผมใช้วิธีการร้องในแบบ ร็อคแอนด์โรล แต่เป็นเพราะว่าเสียงของผมจะเต็มมาก
ผมจึงสามารถที่จะผ่อนให้มันฟังแล้วนุ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ผมได้ฝึกฝนว่าจะร้องออกมายังไงให้เสียงของผมโดดเด่น
และด้วยการชี้แนะของพี่จียง ผมจึงสามารถที่จะทำมันออกมาได้ดีแบบที่เห็นครับ


[Trans] สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร Goethe


 Reduced: 78% of original size [ 650 x 445 ] - Click to view full image


ด้วยความต้องการที่จะเป็นคนที่ " ทุ่มเทเวลาในช่วงวัยรุ่นให้กับการทำงาน"
ศิลปินเกาหลีที่มีตารางงานยุ่งมากคนนี้ ได้ดึงดูดความสนใจของเรา
ผู้อ่าน อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหน้าเค้าซักเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม
ด้วยความหลงใหลและความทะเยอะทะยานในอาชีพที่ไม่รู้จักหมดของเค้าคนนี้ ทำให้เค้าโดดเด่นและน่าสนใจมากทีเดียว

"ผมอยากจะเป็นเหมือนกับผู้บุกเบิกที่สามารถริเริ่มเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆได้ครับ"

ดูเหมือนเค้าจะเคยต้องทนทุกข์กับเรื่องของขนบธรรมเนียมงั้นเหรอถึงมีความคิดแบบนั้น??
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ ท็อปก็เลือกทางเดินมาที่สายนี้ และได้บอกเล่าเรื่องบางอย่างที่น่าตกใจในการสัมภาษณ์นี่ที่ญี่ปุ่น
ที่ที่เค้าได้รับความนิยมมากขึ้นๆๆเรื่อยแล้วที่นี่ ซึ่งความโด่งดังของเค้าที่ประเทศเกาหลีนั้น แถบจะไม่ต้องพูดถึงอีกต่อไป

"มีอยู่ช่วงนึง หลังจากที่ผมเสร็จสิ้นจากการถ่ายทำภาพยนตร์และไม่ต้องแสดงอีกต่อไปผมกลับมาที่ห้องของผมซึ่งผมอยู่คนเดียว
จู่ๆผมก็ไม่สามารถที่จะแยกได้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในโลกแห่งความจริงรึเปล่า??
จริงอยู่ว่าผมก็เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนนะครับ
ซึ่งผม ก็เกิดอาการนอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เป็นบ่อยเลยทีเดียวครับ "


[Trans] สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร AERA Japan




AERA: ในตอนนี้เป็นเวลาตามกำหนดการที่เรานัด ท็อปเอาไว้แต่เค้าก็ยังมาไม่ถึงเลย
จากนั้นผมก็ได้ยินมาว่าเค้าไม่สบายในวันนี้ แต่เค้าก็พยายามผลักดันตัวเองให้ทำงานตามที่มีนัดสัมภาษณ์ในตารางงานทั้งหมด
และในที่สุดเค้าก็มาถึง เพียงเท่านี้ผมก็รู้สึกโล่งอก
ท็อปเริ่มด้วยการเปิดดูนิตยสาร AERA จนทั่วจากนั้นจู่ๆเค้าก็พูดขึ้นมาว่า "ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ"
ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่เค้าสวมมานั้นไม่เหมาะกับภาพรวมของนิตยสาร
ผมจึงนั่งคอยเค้าซักสองสามนาที จากนั้นเค้าก็กลับมาด้วยการสวมแจ็คเก็ตลงไปมันดูดีจนน่าตะลึง
รองเท้าที่เค้าสวมดูน่าสนใจมากเพราะมันเหมือนกันมีใครนำตะปูไปตอกเอาไว้
พอผมถามถึงยี่ห้อของรองเท้าเค้าตอบมาว่าจาก Louboutin
รองเท้าจาก Christian Louboutin ที่เฉิดฉายอยู่ในภาพยนตร์จอยักษ์ที่ทำเงิน อย่างเรื่อง Sex and the City
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ชายสวมรองเท้า จาก Louboutin.

T.O.P: ครับ รองเท้านี้เป็นของผมเองครับ ผมเลือกรองเท้าคู่นี้เพราะเหมาะกับชุดครับ ผมชอบแฟชั่น

AERA: จริงๆแล้วตอนที่เค้ารับบทเป็นนักฆ่าเลือดเย็นในละคร IRIS เค้าก็ใส่ใจในเรื่องของแฟชั่นอย่างมาก
ท็อปกล่าวว่าเค้าเป็นคนเสนอและร่วมปรึกษาหารือกับสไตลิสต์ในเรื่องของเสื้อผ้าให้กับตัวละครตัวนี้
สูทสีดำและเสื้อโค้ทแบบยาวที่เค้าสวมในเรื่อง ทำให้เค้าดูเหมือนเป็นนายแบบมากกว่ามือสังหาร
และด้วยการที่เค้าดัดผมให้งอเพียงเล็กน้อย และเปลี่ยนทรงผมบ่อยมากในเรื่อง
แน่นอนว่าเค้าถูกเรียกว่าเหมือนนายแบบมากกว่ามือปืน ท็อปกล่าวว่า
" ผมต้องการที่จะสร้างภาพของมือสังหารที่ทุกคนสามารถจินตนาการได้ออกมา "


[Trans] สัมภาษณ์ จีดราก้อนจากนิตยสาร GQ Korea ฉบับเดือนเมษายน 2011




Part 1

GQ: ตอนนี้เลยเวลาตีสองมาแล้วนะค่ะ
GD: สำหรับผม ตอนนี้เป็นเวลากลางวันครับ เพราะปกติผมจะนอนยาวไปตื่นตอน 4 ทุ่ม
ดังนั้นเวลานี้เป็นเวลาดีในการทำงานสำหรับผมเลยละครับ


GQ: ฉันคิดว่าประสบการณ์ในการทำงานของคุณคงแตกต่างไปจากที่พวกเราประสบกันนะค่ะ
เพราะคุณไม่ได้ตื่นมาทำงานเมื่อพระอาทิตย์ส่องแสงสดใส แต่การที่ตื่นนอนตอน 4 ทุ่มขึ้นมาเพื่อที่จะทำงาน
คุณคงไม่ได้ มองออกนอกหน้าต่างแล้ว นึกว่า "อ่า เมื่อคืนหลับสบายจัง" แล้วออกไปทำงานเหมือนกับเราๆ


GD: ผมเหมือนกับจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปในสายตาของคนอื่นนะครับ
ผมก็อยากที่จะใช้ชีวิตตามสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันเหมือนกัน
แต่เป็นเพราะผมมักจะต้องตื่นนอนตอนกลางดึกดังนั้นผมถึงไม่ค่อยได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบนั้นเท่าไหร่
เรียกได้ว่าทุกวันนี้พอผมตื่นขึ้นมาปุ๊บผมก็ต้องมุ่งหน้ากลับไปที่สตูดิโอ ไม่ว่ามันจะเป็นตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน
แสงแดดไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลยครับ ดังนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ใช้ชีวิตผสมปนเป
สวนทางกับเวลาที่ควรจะเป็นทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนครับ


GQ: ดูเหมือนคุณจะไม่เดือดร้อนอะไรในเรื่องนี้นะค่ะ
GD: ผมคิดว่ามันค่อนข้างที่จะเหมาะสมกับผมนะครับ

GQ: ตอนนี้ มินิอัลบั้มชุด 4 ก็ออกมาแล้วนะค่ะ และเพลง tonight ก็ดังมาก คุณรู้สึกตื่นเต้นกับมันไม๊??
GD: พูดตามตรงนะครับ ผมคิดว่าถึงแม้ว่าการแสดงบนเวทีเพลงนี้
จะเป็นอะไรที่โหดมากสำหรับเราในตอนที่เพลงเพิ่งออกใหม่ๆ
แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือเราต้องรักษาให้งานได้ระดับที่ดีเหมือนที่เคยเป็นมา
ในตอนเริ่มแรกเลย ผู้คนให้ความสนใจกับการคัมแบคของพวกเราเพราะเรา มีคำว่า "บิกแบง"ติดตัวอยู่
ชื่อที่คนไม่สามารถจะเพิกเฉยต่อมันได้ ผมหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความรักที่ทุกคนมีให้เราจะยิ่งเติบโตขึ้น
และผมจะสามารถได้ยินผู้คนพูดถึงเราในทุกทุกที่ ตอนนี้ผลตอบรับที่ได้มาดีมากเลยครับ


GQ: แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ คุณคิดไม๊ว่าแค่การได้รับคำชมนั้นมันยังไม่พอ??
มีคำกล่าวว่า "การได้รับคำวิจารณ์ดีกว่าคำชมเป็นร้อยเท่า"นะค่ะ


GD: เราเป็นวงที่มักจะได้รับคำวิจารณ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ
ผม ตัวผมเอง เป็นนักดนตรีที่มักจะตกเป็นเป้าของการวิจารณ์อยู่แล้ว
ดังนั้นแม้ว่าผมจะได้รับคำชมแค่คำเดียวผมก็รู้สึกขอบคุณแล้วละครับ
ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่คนพูดถึง วายจี บิกแบง หรือ จีดราก้อน พวกเค้ามักจะยึดติดอยู่กับอคติต่างๆ
ผมคิดจริงๆว่า ผมต้องการคำชมมากจริงๆๆในช่วงเวลานี้


GQ: มันคงเหมือนกับว่า "ฉันก็แค่อยากจะทำในสิ่งที่ฉันอยากจะทำเท่านั้นเอง"
และสิ่งที่คุณต้องการที่จะทำมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลตอบรับที่คุณคาดว่าจะได้รับใช่ไม๊ค่ะ??


GD: ครับ ถูกต้องที่สุดครับ ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะพูดยังไงเกี่ยวกับผม
ถ้าผลตอบรับต่างๆที่ผมได้รับมีผลกระทบต่อผมได้ง่ายๆ เราคงไม่สามารถที่จะยึดมั่นอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของเราได้
ซึ่งนิสัยนี้มันยังใช้ได้กับเรื่องของแฟชั่นด้วย แม้ว่าผมจะสวมใส่อะไรที่มันดูน่าตลก
แต่ผมก็แค่อยากจะแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองออกมาก็เท่านั้น
ผมเชื่อว่าผู้คนมักจะดำเนินรอยตามสิ่งที่พวกเค้าเชื่อ เพราะตัวผมเองก็เป็นแบบนั้น
ดังนั้นผมจะไม่เปลี่ยนแปลงไปหรอกครับ


GQ: ดูเหมือนเรื่องของแฟชั่นคุณจะสามารถเอาชนะซึงรีได้นะค่ะ
ตอนนี้คุณได้สวมกระโปรงในช่วงที่โปรโมทเพลงในอัลบั้มใหม่
คอนเซ็ปที่อยู่เบื้องหลังการสวมกระโปรงคืออะไรค่ะ?? เพราะฉันไม่เห็นว่ามันจำเป็นจะต้องทำถึงขนาดนั้นเลย??


GD: ไม่ว่าจะเป็นตัวผมเองหรือสมาชิกในวงบิกแบง พวกเราต่างถูกจับตามองอย่างมากในเรื่องของแฟชั่นครับ
พูดตามตรงคือ ผมเครียดกับเรื่องนี้เหมือนกัน
เราได้ทำสิ่งที่เราอยากที่จะทำไปแล้วในโปรเจคยูนิตพิเศษ GD&TOP พอเรามาทำงานร่วมกันในฐานะวง อีกครั้ง
พอถึงจุดนึงมันก็เกิดความยากขึ้นไม่เหมือนกับตอนที่เราทำงานเดี่ยวเป็นเพราะ บิกแบง เป็นวงดนตรีในแบบป็อป
เราจะต้องรักษาความคิดที่ว่าเราต้องพยายามที่จะชักจูงขอบเขตในเรื่องของแฟชั่นของคนทั่วไปเอาไว้
คอนเซปของการโปรโมทในครั้งนี้คือการสวมกระโปรง แทนที่เราจะอธิบายความตั้งใจของเราออกมาทางคำพูด
ผมคิดว่ามันจะสามารถครอบคลุมกว่าถ้าเราสามารถที่จะแสดงออกผ่านทาง เครื่องแต่งกายของเรา เวที สไตล์
และการแสดงของเรา ให้มันมีความหมายเดียวกันในการที่จะส่งมอบเพลงของเราไปสู่คนฟังครับ


GQ: การทำงานในเพลง Tonight เป็นยังไงบ้างค่ะ??
GD: เราใช้เวลาในการทำเพลงนี้ กว่า 1ปีครึ่งครับ ดังนั้นเราจะเรียกเพลงนี้ว่า เป็นเพลงที่ไม่มีวันเก่า
มันเกิดขึ้นในวันนึงที่ผมอยู่ที่บ้านพี่คูซก่อนที่ผมจะกลับบ้าน จู่ๆเค้าก็เล่นเปียโนขึ้นมาให้ผมฟัง
แล้วบอกว่า "เพราะไม๊??" และนี่เป็นจุดกำเนิดจังหวะหลักในเพลง tonight ครับ
และภาพรวมกรอบต่างๆของเพลงก็เกิดขึ้นในคืนนั้นแหละครับ


GQ: งั้น มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงหนึ่งปีครึ่งนั้นละค่ะ??
GD: ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ฟังนี้ต่างก็พูดว่ามันสามารถที่จะเอามาเป็นเพลงที่ใช้ในการโปรโมทอัลบั้มใหม่ของเราได้เลย
แต่เราก็คิดกันอยู่ว่ามันจะดีกว่าไม๊??ถ้าจะใช้เพลงนี้เป็นเพลงโซโล่ของแทยัง
แทนที่จะเอามาเป็นเพลงโปรโมทของวง เราได้ทำการทดลองอะไรหลายอย่างกับเพลงนี้
แต่ยังไงๆก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรขาดไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าเดิมเลยเราจะคิดว่านี่แหละควรจะเป็นเพลงโปรโมทให้กับ บิกแบง
แต่เราก็คิดมากว่าเราจะปรับปรุงแก้ไขมันออกมาในแบบไหนดี และเราก็ล่าช้ากว่ากำหนดมามาก
และเพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมทำมันขึ้นมาเอง มันเลยเหมือนกับลูกของผมเลยละฮะ
ถึงแม้ว่าความรู้สึกของผมจะเหมือนกับว่า เพลงนี้เปรียบเป็นเด็กชายคนนึงที่ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น
แต่ต่อมาเค้าก็ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งเพราะเค้าไม่ดีพอ และผมก็รู้สึกเสียใจในเรื่องนี้ด้วย
ในการทำงานที่หมุนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ผมเริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยกับเพลงนี้ที่มันทรมานผมมานานเกินไปแล้ว
ผมมีความรู้สึกว่าไม่อยากฟังเพลงนี้อีกต่อไปแล้วละครับ ผมอยากจะยอมแพ้
แต่โชคดีที่ในที่สุดมันก็สามารถออกมาได้อย่างสำเร็จจนได้ฮะ


วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] 090311 สัมภาษณ์ จีดราก้อน กับ 10 Asia


BIGBANG IS BACK เป็นคำพูดที่พวกเค้าบอกกล่าวให้ผู้คนทราบถึงการกลับมาของพวกเค้า
ในวงการเพลงในประเทศหลังจากที่ห่างหายไปนานกว่า 2 ปี 3 เดือน ประโยคที่แสนสั้นและได้ใจความ

แต่บิกแบงที่เราเจอในวันนี้แตกต่างไปจากเมื่อ2 ปีก่อน สมาชิกในวงทุกคนต่างก็ได้ไปทำงานเดี่ยวกันทั้งนั้น
ในตอนนี้พวกเค้าจึงเป็นวงที่มีดาราดังมารวมตัวกันถึง 5 คนมากกว่าจะดังด้วยตัวของวงเอง
และกลายเป็นวงที่มีเอกลักษณ์มากเข้าไปอีก
จีดราก้อน ท็อป แทยัง ซึงรี และแดซอง สร้างสรรค์เพลงของบิกแบงที่เราได้ยินในทุกวันนี้ออกมาอย่างไร??

ด้านล่างนี้ เป็นบางส่วนจากบทสัมภาษณ์ จีดราก้อน โปรดิวเซอร์ของอัลบั้มของพวกเค้า กับ 10 asia



10: มันคงเป็นงานที่ลำบากมากที่คุณต้องมาทำงานคัมแบคในนามของบิกแบง
ทันทีที่คุณจบกิจกรรมการโปรโมทในงานยูนิตพิเศษ GDTOP นะค่ะ

GD: กิจกรรมการโปรโมทในอัลบั้มยูนิตพิเศษไม่ได้ลำบากอะไรเลยครับ
เพราะไม่ว่าจะเป็นตัวเพลงหรือการแสดงบนเวที เราทำทุกอย่างเหมือนว่าเรากำลังเล่นสนุกครับ
ดังนั้นนอกจากเรื่องที่เราไม่ค่อยได้มีเวลานอนในบางครั้ง นอกนั้นเราก็ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ลำบากเลยครับ
แต่กับการคัมแบคของบิกแบงในครั้งนี้ หลังจากที่เราห่างหายไปกว่า 2ปี 3 เดือน
แถมสมาชิกแต่ละคนต่างก็ได้ออกไปลองทำงานในเส้นทางที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นผมจะคิดมากๆเลยละครับว่าทุกคนจะเป็นยังไงบ้างเมื่อเราทั้งห้าคนกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง


10: จริงเหรอค่ะ(หัวเราะ)คุณเนี่ยนะ?
GD: ผมเคยที่จะแยกตัวออกมาทำงานคนเดียวครับในอดีต
และจะคอยสั่งให้คนอื่นๆทำในสิ่งที่พวกเค้าต้องทำ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปเยอะเลยฮะ
เพราะสมาชิกในวงของพวกเราเป็นคนที่น่าทึ่งมากในสายตาของผม
มันเลยเหมือนกับว่า เราทำงานร่วมกันในฐานะที่เราเป็นดาราแข่งกับดาราด้วยกันเอง
หรือ เราต่างก็เป็นแฟนเพลงกับแฟนเพลงด้วยกันเองด้วย
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใดพวกเค้าล้วนเป็น รุ่นน้องและเพื่อนของผมทั้งนั้น
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันทั้งตื่นเต้นและยากเหมือนกันในการทำงานร่วมกับพวกเค้า 


10: แต่เพลง TONIGHTเป็นทางเลือกที่เราคาดไม่ถึงเลยนะค่ะ
ที่กลุ่มไอดอลหลักอย่างวงบิกแบงจะเลือกเอาเพลงนี้มาใช้เป็นเพลงหลักในการโปรโมท
หลังจากที่หายไปจากวงการนานมากเพราะเพลงนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เพลง
ที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากสิ่งที่เรารู้สึกได้จากเพลงในทุกวันนี้
ฉันรู้สึกว่ามันคล้ายกับเพลงป็อปในต่างประเทศในเรื่องของความรู้สึกนะค่ะไม่ได้พูดถึงประเภทของเพลง


GD: ผมได้รับความมั่นใจมากขึ้นในตอนที่ผมทำงานในยูนิตพิเศษ GDTOP ครับ
เพราะคนชอบเพลง HighHigh และก็ชอบเพลง Knock out ด้วย
และตอนที่เราไป อเมริกาเราเจอผู้หญิงผิวดำกำลังฟังเพลง knock out ในรถของเธอ
ผมรู้สึกแปลกๆนะครับแต่ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดก็คือว่า มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงๆ
ผมคิดว่าในยุคของเรานี้กำลังก้าวไปสู่ยุคสมัยที่ความรู้สึกสามารถส่งผ่านให้รู้สึกกันได้
ในระดับโลกไม่ได้จำกัดแค่ในระดับประเทศเท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่คล้ายๆกันนี้กำลังเกิดขึ้นกับเรา ตัวเราอาจจะอาศัยอยู่ในประเทศเกาหลี
แต่เรามีอินเตอร์เนทดังนั้นเราสามารถที่จะฟังเพลงที่มาจากทุกมุมในโลกได้ เหมือนกับเรื่องของแฟชั่นก้ด้วยครับ


10: ฉันคิดว่าในเพลง tonight หลังจากที่คุณส่งเพลงให้สู่จุดสูงสุด
แล้วจากนั้นคุณเลือกใช้เสียงกีตาร์โปร่งตัดเข้ามาแทนที่ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเพลง ป็อปมากๆ
คุณมีความกังวลบ้างไม๊ว่าสไตล์แบบนี้อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังชาวเกาหลี??


GD: ผมเลยพยายามทำให้มันมั่นใจมากขึ้นแทนครับ
โดยการที่จะไม่มีท่อนไหนในเพลงนี้ที่น่าเบื่อเลยและมันจะต้องเร้าใจได้ตลอด
ผมไม่ต้องการให้ช่วงไหนของเพลงนี้ผ่านไปอย่างสงบๆ
เพลง lie เป็นเพลงที่มีท่อนเริ่มแบบสงบจากนั้นก็จะให้ความเร้าใจจนถึงขีดสุด
แต่ผมทำเพลง tonight ออกมาให้ท่อนร้องของทุกคนมีความเร้าใจทั้งหมด
และผมทำมันภายใต้การตัดสินใจว่าจะต้องดึงอารมณ์จากจุดต่ำสุดให้ขึ้นสู่จุดสูงสุดให้ได้
ภายในเวลา 3 นาทีกับอีก 30 วินาทีนี้
จริงๆผมค่อนข้างกังวลมากๆว่าเพลงนี้จะต้องแสดงออกมาบนเวทีในรูปแบบไหนด้วยนะครับ (หัวเราะ)


วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] 090311 สัมภาษณ์ Bigbang กับ 10 asia

เราสามารถจำกัดความได้ว่าโลกของเรานั้นเกิดขึ้นจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่า "big bang"
แน่นอนว่าประโยคที่กล่าวมานี้ เป็นการพูดในเรื่องของ ดาราศาตร์ ว่าด้วยการกำเนิดของโลก
หลังจากเกิดบิกแบงขึ้น ในอวกาศที่ว่างปล่านั้น ก็มีโลกกำเนิดขึ้นมา

วงดนตรีบิกแบง ได้สร้างเหตุการณ์ที่สมกับชื่อวงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย มินิอัลบั้มชุดที่ 4 ของพวกเค้าหลังจากที่ไม่ได้คัมแบคมากว่า 2 ปีกับอีก 3 เดือนเพลงทุกเพลงในอัลบั้มนี้ต่างทะยานขึ้นสู่อันดับตามชาร์ตต่างๆมากมายและสถานนีโทรทัศน์หลักอย่าง SBS และช่องทางเคเบิลหลักอย่าง Mnet
ถึงกับต้องจัดรายการพิเศษ แยกให้พิเศษสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ของพวกเค้าเลยทีเดียว

ในวันที่ 4 มีนาคม บิกแบงได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเราว่า พวกเค้าไม่อยากคุยเรื่องที่ว่า
เพลงของพวกเค้าไต่อันดับไปสูงแค่ไหน หรือ คุยเรื่องของแผนการการโปรโมทเพลงแต่พวกเค้าต้องการที่จะพูดคุยถึงความพยายามของพวกเค้าที่จะสร้างกลุ่มไอดอลในแบบใหม่ขึ้นมา รวมถึงความหวังของพวกเค้าต่อวงการเพลง

และข้างล่างนี้คือ ส่วนนึงของบทสัมภาษณ์ของพวกเค้าในวันนั้น



Q: พวกเราสนุกกันมากเลย ในตอนที่ได้ดู Secret Big Bang. [พาโรดี้ที่บิกแบงทำเลียนแบบซี่รีย์เรื่อง Secret Garden] (หัวเราะ) พวกคุณได้นำเอาไปฉายที่งานคอนเสริ์ตบิกโชว์ แล้วมีแผนจะนำออกไปฉายที่ช่อง SBS รึเปล่าค่ะ??
G-Dragon (GD): ครับ มีแผนครับ

Q: อย่างงั้น การแสดงในครั้งนี้คงสร้างความกดดันให้กับทุกคนมาตั้งแต่ต้นเลยไม๊ค่ะ??
T.O.P: ครับ เรารู้สึกกดดันตั้งแต่ที่ต้องมาคัมแบคหลังจากที่หายไปนานกว่า 2 ปี3 เดือน แล้วละครับ
อีกอย่างมีคนที่ชื่นชอบในตัวซี่รี่ย์ เวอร์ชั่นปกติมาก ดังนั้นเราก็ยิ่งพยายามที่จะทำให้มันตลกนะครับ

GD: เราคงจะไม่สามารถที่จะทำให้มันออกมาตลกแบบนี้ได้ถ้ามันจะถูกฉายแค่ในคอนเสริต์ของเราครับ
แต่นี่มันจะถูกนำออกไปฉายที่ช่องโทรทัศน์ทั่วประเทศอีก ดังนั้นเราเลยถ่ายทำและพูดบทเหมือนกับละครทีวีปกติเลยครับ


Q: พวกคุณพูดถึงความกดดันจากการทำพาโรดี้ ฉันคิดว่าคุณคงรู้สึกกดดัน แบบเดียวกันนี้
กับการที่ทางSBS และ Mnet จัดรายการพิเศษเพื่อการคัมแบคของพวกคุณโดยเฉพาะด้วยใช่ไม๊ค่ะ??

T.O.P: สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกกดดันมากที่สุดคือเรากังวลว่าคนจะเข้าใจผิดคิดว่าเราได้รับการปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่นครับ เป็นเพราะแบบนั้นเราจึงพยายามให้มากขึ้นอีกเพื่อแสดงให้คนเห็นว่าเรากำลังทำอย่างดีที่สุดและเราทุ่มเทกับการแสดงที่เรากำลังทำอยู่อย่างมากจริงๆ

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] ชีวิตอันโดดเดี่ยวของ Teddy ในอเมริกา

ผู้แปล = Tama
แก้ไขโดย = Josh


ตอนนั้นมีแค่ผมกับซึงวอนที่เป็นคนเกาหลีในโรงเรียน นอกนั้นมีเด็กผิวสีบางคน ในนิวยอร์กหาโรงเรียนทำเลแบบนี้ยากผมเลยเลือกจะเข้าที่นี่ พอมาคิดอีกทีโรงเรียนนั้นช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย รังเกียจเอเซียและการเหยียดผิว ผมเพิ่งมาอยู่ที่อเมริกา ภาษาอังกฤษผมแย่มาก ผมเลยมีแค่ซึงวอนเป็นเพื่อนคนเดียว ไม่มีใครมาเล่นด้วยและไม่มีอะไรทำ ผมเลยเบื่อและเหงา เวลาปิดเทอมผมมักขังตัวเองในบ้านและฟังเพลง ถ้าตอนนี้เปิดเพลงสมัยที่ผมฟังตอนนั้น ผมมักจะหลอนได้ยินเสียงแม่ผมตะโกน 'ปิดเพลงนั่นซะ!'

ผมคิดถึงโซล ผมอยากไปเจอเพื่อนที่โซล ถึงผมจะชอบเล่นแต่ผมก็ไม่ทิ้งเรื่องเรียนด้วย แต่ที่นิวยอร์กผมไม่มีใครเล่นด้วย ผมเลยไม่ใส่ใจการเรียน แน่นอนว่าทุกคนไม่พอใจที่ผมทำตัวแบบนี้ ผมโกรธที่ทำอะไรให้ซึงวอนไม่ได้และผมก็โดนแกล้งที่โรงเรียนประจำ แม้แต่ครูก็ไม่ใส่ใจผมด้วย ผมเริ่มไม่ค่อยพูด สุขภาพผมแย่ลง เวลาพ่อผมเห็นผมเป็นอย่างนั้นท่านมักจะเศร้าเสมอ

จนวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้น วันที่ผมก่อเรื่อง ตอนนั้นเป็นวิชาพละและผมก็ถูกสั่งให้ไปเอาอุปกรณ์คนเดียว ผมแบกทุกอย่างโดยไม่ได้พูดบ่นอะไร พอเราเล่นบาสเก็ตบอลเสร็จ ผมก็ถูกสั่งอีกให้ไปเก็บอุปกรณ์ จากนั้นครูก็สั่งผมให้ไปเอาจักรยาน ผมก็ไปแบกมาอย่างขลุกๆขลั่กๆ ตอนที่ผมแบกผมได้ยินเสียงคนบ่นอย่างไม่พอใจข้างหลังผม ตอนนั้นถึงผมจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเท่าไหร่แต่ผมหมดความอดกลั้นแล้ว แทนที่จะเดินไปที่ล๊อกเกอร์รูม ผมหันหลังและวิ่งใส่คนนั้น เด็กคนนั้นดูตกใจมากจนไม่ขยับหนี เค้าเลยโดนผมชก จากนั้นเค้าก็ล้มลงแต่ผมยังไม่หยุดชก

เด็กคนนั้นเป็นเด็กป๊อปที่สุดในโรงเรียน เค้าเป็นนักกีฬา รูปหล่อและเป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนสาว สติผมหลุดไปสามนาทีระหว่างที่ชกเค้า พอสติกลับมาผมเริ่มเสียใจที่ไปทำร้ายเค้า คุณครูมารวบตัวผมแต่ผมสะบัดหนีและเดินกลับไปที่ล๊อกเกอร์รูม เด็กที่มามุงก็แตกรัง เด็กผู้หญิงบางคนเหล่ผมด้วยสายตาประมาณว่า 'ชั้นเกลียดนาย' ทุกคนมองผมราวกับเป็นสัตว์ประหลาด

แน่นอนว่าผมโดนพักการเรียน แต่ผมไม่ได้แคร์นัก ที่ผมรู้สึกกังวลมากและผมรู้สึกแย่มากก็ตอนเห็นคุณแม่เสียใจมากกว่า ระบบการศึกษาของอเมริกาจะให้เด็กออกไปพรีเซนต์หน้าห้อง ทุกคนหัวเราะเยาะผมตอนออกไปพรีเซนต์ ผมรู้สึกเกลียดการไปโรงเรียนมาก

ผมโดนย้ายไปอยู่อีกโรงเรียน ที่นั่นก็ไม่แตกต่างกันนัก ผมเชื่อว่าเป็นเพราะมีคนได้ยินข่าวลือเรื่องผมเลยไม่มีใครมาสุงสิงด้วย

เวลา ช่วงมัธยมต้นผ่านไปอย่างยากลำบาก ผมย้ายโรงเรียนอีกเมื่อขึ้นมัธยมปลาย โรงเรียนริชวู้ดมีเด็กเกาหลีมากมาย ผมรู้สึกโชคดีที่ได้เจอพวกเค้า ผมมีเพื่อนเกาหลี ลาติน และเพื่อนผิวดำ ชีวิตตอนนั้นต่างกับมัธยมต้นมาก ผมมีเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่หลายคนและเรามักจะไปเที่ยวด้วยกันเสมอ ผมเข้ากับเด็กผิวดำที่นี่ด้วย วันคืนที่มีความสุขทำให้ผมพยายามจะลืมความทรงจำที่ไม่ดีสมัยมัธยมต้น บางครั้งผมก็คิดย้อนไปว่าทำไมผมถึงทำอย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละ ตอนนั้นผมมีปัญหาจริงๆ ผมสร้างปัญหาให้แม่มากมาย แต่พอแม่เห็นผมมีความสุขกับการไปโรงเรียน ท่านก็ดีใจ

พอขึ้นปีสองเราก็ต้องย้ายไปลอสแองเจลิส พ่อผมออกจากงานเพื่อเปิดบริษัทของตัวเอง ผมตื่นเต้นที่จะได้ไปนะเพราะที่นั่นมีเด็กเกาหลีตั้ง 80% แน่ะ เด็กที่นิวยอร์กกับลอสแองเจลิสก็ไม่เหมือนกันด้วย พวกเค้ามักไว้ผมสั้นและหน้าตาดีกว่า พอผมปรากฏตัวด้วยสไตล์ฮิปฮอปแบบคนดำนิวยอร์กเค้ามองผมอย่างกับเอเลี่ยนเลย

เจสันเพื่อนจากฟิลิปปินส์เป็นเพื่อนคนแรก อย่างที่ผมคิดไว้เค้าชอบฮิปฮอปเหมือนกัน เค้ามาที่บ้านตอนพักเที่ยงแล้วเราก็คุยกันเรื่องฮิปฮอปและเพลง เค้าเต้นให้ผมดู ผมก็เต้นโชว์เค้าด้วย เจสันกับผมคุยเรื่องทุกเรื่องด้วยกัน เค้ามีเพื่อนชาวเกาหลีมากมายและก็แนะนำให้ผมรู้จัก พวกเรานัดกันไปเที่ยว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเจอแดนนี่ เค้ายืนอยู่ตรงกลาง หน้าบึ้งๆและกอดอก เค้าดูเหมือนหัวหน้าแก๊งมากเลยแถมยังใช้ให้รุ่นน้องไปซื้อข้าวอีก ถึงเค้าจะให้เงินรุ่นน้องไปด้วยก็เถอะ แต่เค้าก็ดูขี้เบ่งมากเลย

คำแรกที่แดนนี่พูดกับผมคือ "เอาหมวกมาให้ลองมั่งซิ"

ตอนนั้นผมใส่หมวกเท่ๆแปลกๆไปเค้าก็เลยขอลอง จากนั้นมาเราก็เจอหน้ากันทุกวัน ไปเที่ยวด้วยกัน ฟังเพลง เต้น และร้องเพลงด้วยกันตลอด

แดนนี่รู้เรื่องเกี่ยวกับดนตรีมากมาย เค้าชี้ให้ผมดูที่ร้านเช่าวิดีโอ มีมิวสิกวิดีโอเพลงเกาหลีที่ดังที่สุดขณะนั้น ผมไปเช่ามาดูและตั้งใจว่าจะกลับไปทำเพลงที่เกาหลีให้เร็วที่สุด

ตอนนั้นผมสนิทกับรุ่นพี่ยูซึงจุนที่โรงเรียนในลอสแองเจลิส เราคุยกันเรื่องดนตรี เค้าเป็นคนที่ตั้งใจมาก อยู่เพื่อดนตรีเท่านั้น แต่เค้าก็มีกิจวัตรประจำวันแบบปกติ ออกกำลังและกินอาหารดีๆ ไปโบสถ์ทุกครั้ง เค้าเป็นคนที่มีความพยายามมากและผมก็เรียนรู้หลายอย่างจากเค้า

และพอคนที่ผมรู้จักกลายเป็นนักร้องเกาหลีที่มีชื่อเสียง ผมกับแดนนี่อิจฉาเค้ามาก ความคิดที่อยากกลับเกาหลีเป็นนักร้องเพิ่มมากขึ้น อเมริกากับเกาหลีนั้นอยู่ไกลกันมาก ดังนั้นถึงแม่ว่าเราอยากเป็นนักร้องมากขนาดไหน แต่แค่คิดว่าเกาหลีอยู่อีกฟากโลกแล้วทำให้เราท้อเหมือนกัน

วันหนึ่งผมกับแดนนี่ไปเช่าวิดีโอเพลงมาเหมือนเคย เราเจอมิวสิกวิดีโอของ JinuSean หัวใจเราแทบจะหยุดเต้นเลยฮะ มันเป็นของนักร้องเกาหลีและแถมเป็นแนวเพลงที่เราอยากทำด้วย ผมเศร้ามากเลยที่ไม่ได้ไปเกาหลีให้เร็วกว่านี้และเป็นคนแรกที่ทำเพลงฮิปฮอป ผมอยากเป็นคนแรก ตอนนี้ดูพวกเราสิ เราอยู่บริษัทเดียวกับ JinuSean แล้ว โชคชะตาช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ

ตอนนั้นเราติดต่อกับนักแต่งเพลงคนหนึ่ง บางครั้งเราก็แต่งเพลงด้วยกัน เค้าแวะมาหาแล้วเราก็เอาเทปเดโมของเพลงเราให้เค้าฟัง แล้วเราก็นั่งเล่นกัน จู่ๆก็มีโทรศัพท์มา เรามารู้ทีหลังว่านั่นคือยางฮยอนซอก เค้ารับโทรศัพท์แล้วคุยกัน ท่านยางถามว่าเพลงที่เปิดฟังกันอยู่นั่นเพลงอะไร พอพี่เค้าบอกว่าเป็นฝีมือพวกเรา เค้าก็นัดเจอเราเลย

ยางฮยอนซอกมีแพลนจะบินมาอเมริกาอยู่แล้วเลยนัดเจอพวกเรา เค้ากำชับว่าห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเรามาเจอเค้า พวกเรางี้ตื่นเต้นกันมาก เค้ามาที่ห้องเร็วมาก แล้วการออดิชั่นของพวกเราก็เริ่มขึ้นภายในห้องโรงแรมของเค้า

หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนเราก็เตรียมตัวย้ายกลับไปเกาหลี และจากวันนั้นถึงวันนี้ผมก็ได้มาอยู่ที่นี่ ในขณะนี้ที่ผมพูดถึงชีวิตเรื่องราวของผม ผมนึกถึงคุณแม่ ท่านต้องเป็นห่วงอย่างมากที่จู่ๆลูกที่ท่านดูแลมาต้องไปอยู่ที่ไกลแสนไกล อย่างเกาหลี ผมสัญญาว่าเมื่อผมไปที่เกาหลีผมจะทำให้ดีที่สุด ตอนนี้ผมก็ได้เวลาทำความฝันและคำสัญญานั้นให้เป็นจริงแล้ว


Take out with full credit
Source@YG Bounce
Korean to Japanese: Jinhye
Japanese to English: YG Bounce team
(Extra thanks to Momo from Milkcho for helping us out with a few Japanese grammar points)
English to Thai: Icys.exteen