Flag Counter

free counters

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Shout out to the world: TOP's part #1

Disclaimer: This work is a joint effort between my friend and I. It is merely a fan translation and has no relation to any of the original works. We have no affiliation with the publisher, Sam and Parkers. This translation is unofficial and the ideas and opinions are strictly personal. This material is for fans personal use and shall not be reproduced, modified, and redistributed for any purposes whatsoever. Furthermore, this translation shall not be reposted to any blogs, sites or forums under any circumstances.

Disclaimer: งานแปลนี้เป็นผลงานแปลของแฟนๆระหว่างฉันและเพื่อน ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักพิมพ์ Sam and Parkers ไอเดียและความเห็นทั้งหมดจึงเป็นความคิดส่วนตัวของฉันเท่านั้น บทแปลนี้สำหรับแฟนๆและไม่ควรถูกก๊อปปี้ แก้ไข และแจกจ่ายไม่ว่ากรณีใดก็ตาม อีกทั้งบทแปลนี้ไม่ควรถูกแปะในบล๊อก เว็บไซด์หรือเว็บบอร์ดใดๆไม่ว่ายังไงก็ตาม

(เค้าไปขออนุญาตมาจาก jwalkervip เป็นกรณีพิเศษสำหรับ VIP ชาวไทยค่ะ ^_^)

Source: BIGBANG’s Shout out to the World
Translation by: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by: icys.exteen
-ชเวซึงฮยอน-
ผมมาที่นี่เพราะสายใยแห่งความหวังเส้นนั้น
ผมยืนอยู่ที่ไหนกัน? ผมเฝ้าถามตัวเองแต่ยังไม่พบคำตอบที่ชัดเจนเสียที
ระหว่างที่ผมกำลังค้นหาอีกด้านของตัวเอง ความกังวลก็เลือนหายไป
เพราะผมต้องตามหาคนที่จะมาเป็นที่พักพิงของผมให้เจอ– TOP

ชื่อ: ชเวซึงฮยอน
เกิด: 4 พย. 1987
ความสามารถ: แร๊พ เขียนเนื้อเพลง บีทบ๊อกซ์
*นักแสดงในละคร KBS ‘I am Sam’

บทที่ 1 :: พลังที่จะปลุกจิตวิญญาณให้ตื่น บางครั้งก็เจ็บปวดจากการกำเนิดตัวตนใหม่

-มีครั้งหนึ่งผมเคยอยากเป็นกลอนเนื้อเพลงที่ถูกสร้างขึ้นและถูกขับร้อง-

ผมจำเพลงฮิบฮอปได้ตั้งแต่ประถม 5 ผมคลั่งเพลงประเภทนี้มากเพราะผมฟังทั้งวันแล้วก็คอยจดเนื้อเพลงด้วย ถ้าเราจะมาคุยกันเรื่องเพลงฮิบฮอปละก็ ผมจะเริ่มคุยตั้งแต่รากเหง้าของอเมริกันฮิบฮอปเลยทีเดียว

เมื่อผมเริ่มฟังเพลงฮิปฮอป มันถูกแบ่งเป็นฝั่งตะวันออกกับตะวันตกในอเมริกา Wu Tang Clan และ Notorious B.I.G. เป็นตัวแทนฝั่งตะวันออก (นิวยอร์ก) พวกเค้าเน้นการแร๊พและเนื้อเพลง ทางฝั่งตะวันตก (LA) 2PAC จะเน้นจังหวะดนตรีมากกว่า ตอนนั้นในเกาหลีเท่าที่ผมจำได้ ทุกคนจะชอบฟังเพลงฝั่งตะวันตกมากกว่าในขณะที่ผมชอบผั่งตะวันออก เวลาผมฟังการแร๊พของพวกเค้าผมจะบอกกับตัวเองว่า “อา เพลงสไตล์แบบนี้ผู้ชายน่าจะลองทำสักครั้งในชีวิตนะ” ผมอยากจะเป็นแบบพวกเค้าที่สามารถบอกหลักปรัชญาของผมและข้อความที่ต้องการบอกผู้คน

แร๊พของพวกเค้ามักพูดถึงชีวิตวัยเด็ก ถ้าให้อธิบายความรู้สึกก็คงเป็นแบบบ้านผมมันจน ผมอยู่ในโลกของโจร แต่ตอนนี้ผมประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าพ่อแม่หิวน้ำก็ไม่ต้องกินน้ำเปล่าแต่ซดแชมเปญแทนบางครั้งเนื้อเพลงก็รุนแรงและโหดร้าย แต่ความกระหายแบบนี้มักเกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคนซักครั้งในชีวิต ความรู้สึกนี้เริ่มก่อตัวขึ้นในตัวผมทีละน้อย

หลังจากที่เข้าโรงเรียนมัธยม ผมก็ถูกจับตามองอย่างมากคงเพราะผมตัวสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกันและชอบใส่เสื้อผ้าฮิบฮอป ผมชอบแฟชั่นฮิบฮอปตั้งแต่เด็กเลยชอบใส่เสื้อแบรนด์ฮิปฮอปที่เพื่อนๆไม่ได้ใส่กัน และชอบเก็บตังไว้ซื้อเสื้อผ้าที่อยากได้แม้พ่อแม่จะไม่อนุญาติก็ตาม

ผมไม่มีความสนใจที่จะเรียนเลยและเริ่มออกเที่ยวกับ”พวกเด็กมีปัญหา” พวกผู้ใหญ่เรียกพวกเค้าอย่างงั้น พวกเค้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมแต่ในสังคมของเราพวกเค้าถูกมองว่าเป็นตัวชักจูงไปในทางไม่ดี เมื่อผมโตขึ้น ผมเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่ควรเห็น และได้ประสบการณ์ที่ผมไม่ควรได้รับ
มีบางเวลาที่ความรู้สึกทั้งหลายมันพุ่งพรวดและบางสิ่งก็ไม่เป็นไปตามที่คิด เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก “เจ็บปวด” และ “กลัว” แม้ว่าผมทำสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่อยากให้ทำ เพื่อนๆที่ทำสิ่งไร้สาระยังถูกหาว่าเป็นตัวปัญหาเลย เมื่อเทียบกับคนที่พยายามแสร้งทำตัวใจดีเข้าหาเด็กอย่างเราอีกครั้ง พวกผู้ใหญ่ที่ลงโทษเด็กอย่างไม่มีเหตุผลน่ะน่าขยะแขยงกว่า แทนที่จะสอนเด็กว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก กลับลงโทษจนเด็กพวกนั้นจมลึกอยู่ในหลุมดำนั่น และเพราะความเจ็บปวดและโมโหทำให้พวกเขาถลำลึกยิ่งกว่าเดิม

พวกผู้ใหญ่ตราหน้าว่าเด็กที่เพิ่งเข้ามัธยมพวกนี้เป็น ”เด็กมีปัญหา” ในขณะที่พ่อแม่ร้องไห้เพราะพวกเค้ากำลังเลี้ยงดู ”เด็กผู้กระทำผิด” แม้ว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงแต่พอถูกไล่ออกจากโรงเรียนและย้ายไปอยู่ที่ใหม่ด้วยป้ายปะหน้า ”เด็กมีปัญหา” ทำให้พวกเค้ายิ่งร่วงลึกไปในห้วงอาชญากรรมมากขึ้น

ผมเริ่มที่จะร่วงไปในหลุมนั่นช้าๆหลังจากที่เห็นเพื่อนรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป





ค้นหาความฝันในเงาดำจาง


เมื่ออยู่ช่วงม.3 ผมก็เริ่มตัดสินใจว่าผมไม่สามารถทนอยู่ใน “โลกที่เจ็บปวด” แบบนี้ได้ต่อไป เพื่อนสนิทของผมจากโลกนี้ไปหลังจากเกิดอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซด์ และเพื่อนของผมอีกคนเสียชีวิตจากรถชนซึ่งก่อนหน้านี้เค้าขับรถโดยไม่มีใบขับขี่


ทุกคนต่างไม่ใส่ใจกับการตายของเพื่อนผมไม่มีใครเห็นใจแม้แต่น้อย เพื่อนของผมอีกคนโดยไล่ออกจากโรงเรียนหลังจากก่อปัญหามากมาย ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ผมไม่มีเพื่อนเหลือในโรงเรียนอีกแล้ว ผมรู้สึกชีวิตวางเปล่าหลังจากเห็นเพื่อนจากไปคนแล้วคนเล่า แต่ผมก็พยายามปรับตัว แม้ว่าความจริงจะน่าเจ็บปวด แม้ว่าจะย้ายโรงเรียนไปแล้ว คำนินทาและข่าวลือต่างๆก็ยังวนเวียนรอบตัวผม เด็กที่โรงเรียนบางคนหาเรื่องผมและพวกครูก็ต่างจับตาผม ไม่มีซักคนที่กล้าขึ้นมายืนเคียงข้างผมหรือให้คำแนะนำใดๆ หลังจากที่เป็นคนล่องหนอยู่นานผมก็ทำอะไรกับมันไม่ได้และเริ่มเกลียดการไปโรงเรียน


ถ้ามีคนที่กำลังรู้สึกเหมือนผมตอนที่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่ล่ะก็ ผมจะขอบอกว่า “สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่น่ะใช้ไม่ได้และน่าอายนะ” แม้ว่าผมคิดว่าตัวตนของผมปัจจุบันดีกว่า แต่การทำลายตัวตนที่แท้จริงของคุณโดยการแสดงให้คนเห็นว่าคุณคิดยังไงและต้องการอะไรนั้นโง่มาก


ตอนม.3 ขึ้น ม.4 ผมเริ่มจะเขียนเนื้อเพลงจริงจัง ผมพูดน้อยลงและวิธีความคิดก็เปลี่ยนไปด้วย บางทีเป็นเพราะผมมันคิดสิ่งหนึ่งตามด้วยอีกสิ่งหนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มลงลึกและมืดมนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมถลำลึกลงไปแล้วผมจะไม่สามารถกำจัดความกระวนกระวายของตัวเองได้ เป้าหมายของผมยังอยู่ตรงหน้าและเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ แต่ผมกลับรู้สึกกังวลเกินกว่าจะทำได้


ผมมีความฝันสองอย่างเกี่ยวกับฮิบฮอป หนึ่งคือการเป็นแร็ปเปอร์ และสองคืออยากขายสินค้าแบรนด์เนม สินค้าเกี่ยวกับฮิบฮอปหายากเพราะว่าต้องนำเข้ามาทั้งหมด ผมจึงมีความคิดจะตามหาของหายากและเอามาขายในร้านรวบรวมของเกี่ยวกับฮิปฮอปให้นักฮิปฮอปทั้งหลายหาซื้อง่ายขึ้น


ตอนนี้ผมมาคิดดู แม้ว่ามันจะเป็นความฝันที่เลือนลางแต่ก็ใกล้จะเป็นจริงเมื่อผมพยายามที่จะทำ






ผู้ใหญ่ก็มีทางของเค้า เด็กก็มีทางของเรา


ผมเริ่มทำงานในร้านขายเสื้อผ้าในอิแทวอน ผมดีใจมากๆที่ผมจะได้ฟังเพลงฮิปฮอปทั้งวันและอยู่กับเสื้อผ้าที่ผมชอบ ผมเคยคิดว่า “ในเมื่อตอนนี้ผมเริ่มมีประสบการณ์ขายโดยตรงแล้วและรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ผมจะใช้ความสามารถของผมเปิดร้านฮิปฮอปของตัวเอง” ผ่านไปหลายเดือนผมกลับมีความคิดว่า “นี่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย”


แม้ว่าผมยังเป็นเด็กและไม่ต้องทำงานทั้งหมด แต่มันก็มีความกดดันและลำบากสำหรับผม เพื่อที่จะขายของผมต้องออกไปหาคนมาเข้าร้าน เจ้าของอยากให้ผมชายมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม เมื่อร้านปิดตอนทุ่มหรือสองทุ่มผมต้องไปที่ตลาดกลางคืนเพื่อไปเอาเสื้อผ้า ราวตีสามถึงตีสี่ผมต้องจัดเรียงเสื้อผ้าก่อนที่ร้านจะเปิด ถ้าผมทำไม่เสร็จทำนเวลาเจ้าของร้านก็จะดุผมและตีผมแบบทีเล่นทีจริง ค่าจ้างของผมต่อวันนั้นสูงกว่าเด็กคนอื่นประมาณสี่หมื่นวอนต่อวัน แต่เจ้าของร้านก็มักบอกว่า “นายยังเด็กจะเอาไปเยอะแยะทำไม?” แล้วก็เอาเงินส่วนของผมไปบ้าง


แม้ว่าผมไม่ได้อยากได้เงินเพราะครอบครัวไม่ได้ลำบากอะไร แต่ผมก็คิดแบบเด็กว่าผมยังเด็ก อยากซื้อสิ่งที่อยากได้และอยากเห็นโลกทั้งใบ แต่ภายหลังมันก็ไม่ง่ายเลยและผมลาออกมาหลังจากทนทุกข์มาสักพัก ตั้งแต่วันนั้นผมก็เริ่มแร๊พ


“ถ้าเรื่องทำร้านฮิปฮอปไม่สำเร็จ ฉันก็จะเป็นแร็ปเปอร์” ผมมีความคิดแบบนั้น คงเป็นเพราะยังเด็กและไม่กลัวอะไรถ้าอย่างแรกไม่ได้ผลก็จะพยายามใหม่ในสิ่งถัดไป ตอนแรกผมอยากขึ้นเวทีแต่เนื่อจากไม่ค่อยรู้จักใครจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมาก ตอนนั้นพวก DJ ดังกันมากในผับ พวกเค้าเป็นกูรูเรื่องฮิปฮอป พี่ DJ D-maker ช่วยให้ผมรู้จักแร็ปเปอร์มากมายและในที่สุดผมก็กลายเป็นแร็ปเปอร์รับเชิญไม่ก็ช่วยพวกเค้าเรื่องการแสดง


โลกใหม่ของผมอุบัติขึ้นเช่นนี้แล






กลายมาเป็นแร็ปเปอร์ใต้ดินคนแรกของ YG


ก่อนหน้านั้นความฝันทีจะเป็นนักร้องถูกบดบังด้วย”ความอยากเป็นแร็ปเปอร์ใต้ดินดังๆ” เพราะว่ามีแร็ปเปอร์บนดินไม่กี่คนที่เก่งจริงและประสบความสำเร็จ ผมเลยคิดว่า “ถ้าอยากจะแร๊พของจริง ฉันต้องทำฮิปฮอปใต้ดิน” ตอนม.3 ผมเจอแฟนสาวตอนที่ผมกำลังแสดงอยู่ที่ผับ เราออกเดทกันประมาณเกือบปีก่อนที่ผมจะเซ็นสัญญากับ YG เธอแก่กว่าผม ตอนนั้นเด็กมหาลัยต่างฉลาดกันทั้งนั้นผมเลยอยากจะโชว์อ๊อฟมั่ง


เสียงที่พูดถึงอนาคตที่เลือนรางของผมเริ่มเงียบไป ผมบอกเธอเกี่ยวกับความตั้งใจจริงของผม อนาคตของผมเริ่มสว่างไสวขึ้น การได้บอกผู้คนเกี่ยวกับความฝันทำให้ผมรู้สึกว่ามันกำลังจะเริ่มเป็นจริงมากขึ้น ผมรู้สึกความตั้งใจของผมมันมากขึ้นมากกว่าตอนที่ผมคิดว่าอยากเป็นแร็ปเปอร์ที่ใครๆยอมรับ


นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมอยากเป็น ”แร็ปเปอร์บนทีวี” แฟนผมคนนั้นช่วยให้ผมส่งซีดีสตรีทแร๊พให้จียง แต่หลังจากที่ผมเข้ามาเป็นเด็กฝึกของ YG เราก็จบความสัมพันธ์ก่อนจะจะครบรอบหนึ่งปี ผมโชคดีมากที่ได้เข้าเป็นเด็กฝึกและตั้งใจจะ “แร๊พให้มากที่สุดเท่าที่จะแร๊พได้” ผมยังอยากทำงานกับนักแต่งเพลงด้วยเพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนไอเดียกัน ความฝันที่จะเป็นแร็ปเปอร์เริ่มปรากฎตรงหน้าช้าๆ


ช่วงเวลาที่เป็นเด็กฝึก นอกจากความฝันที่อยากจะเป็นแร็ปเปอร์แล้วผมก็เริ่มอยากเป็นนักแต่งเพลง เหมือนคุณยางฮยอนซอก ผมมีความทะเยอทะยานที่อยากสร้างจุดที่ฮิปฮอปและ R&B สามารกางปีกทะยานไปได้พร้อมกัน ผมรู้สึกว่าหากผมอยากเป็นนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง ผมต้องลองพยายามด้วยตัวเอง ผมยังต้องก้าวไปข้างหน้าหากผมยังอยากเป็นแร็ปเปอร์หรือนักร้อง


อย่างไรก็ตาม วันคืนที่เป็นเด็กฝึกเริ่มหมดลงและผมกำลังไปออดิทครั้งสุดท้าย ความจริงของตอนนั้นต่างจากที่ผมคิดโดยสิ้นเชิง


แผนของเราคือสร้างกลุ่มที่เน้นการเต้นเป็นหลัก สมาชิกแต่ละคนที่ถูกเลือกเข้ามา จะถูกบันทึกการกระทำต่างๆใน documentary.”


ผมประหลาดใจมากเมื่อได้ยินสามประโยคนั้น






แร็ปเปอร์ที่ต้องเต้นน่ะเหรอ?


ก่อนที่จะเข้ามาเป็นเด็กฝึก YG คำว่า ”เต้น” เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลย แม้ว่าผมจะแสดงในคลับบ่อยๆตอนยังเด็กแต่สำหรับคนที่ชอบฮิปฮอปและอยากเป็นแร็ปเปอร์นั้น แต่ “การเต้น” ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของฮิปฮอป และตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ


แม้ว่าผมเคยพูดว่าอยากเป็นนักเขียนเพลงแต่สำหรับผมการเป็นแร็ปเปอร์จะช่วยส่งสารไปหาคนฟังด้วย MC (“Move the Crowd” คนที่กระตุ้นกลุ่มผู้คนนั่นเอง) ก็สามารถเป็นแร็ปเปอร์ได้พวกเค้าทำให้กลุ่มคนเคลื่อนไหวนะ! ตอนแรกที่ผมรู้จักคำนี้ผมทำให้ผมรู้สึกอย่างนั่นมันเจ๋งมากเลยที่ได้แสดงตัวตนแบบนั้น แร๊ปเปอร์ต่างมีสีสันของตัวเองที่แตกต่างจากนักร้องที่สามารถเต้นได้ พลังของแร๊ปเปอร์คือการได้ถ่ายทอดปรัชญาของตัวเองลงเนื้อเพลงและแสดงมันออกมาในรูปแบบของตัวเอง


ความสนุกที่ได้ส่งทอดแร๊พไปให้ผู้ฟังแค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขและไม่ต้องการการเต้นมาเติมแต่งให้มัน แม้ไม่ต้องเต้น การได้ยืนบนเวทีและเคลื่อนไหวผู้คนด้วยคำพูดก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของฮิปฮอปแล้ว


ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดไปแล้ว การแร๊พและเต้นบนเวทีทำให้เราแสดงออกได้มากขึ้นและ”ได้สนุกกับผู้ชม”ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอบคุณคุณยางฮยอนซอกที่ไม่คาดหวังกับการเต้นของผม บางทีเขาอาจจะคิดว่า”ท๊อปที่เต้นเก่ง”นั้นไม่เข้ากับภาพพจน์ของผม มันต่างจากตอนที่ผมออดิชั่นเพราะผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นและนั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดเท่านั้น การเรียนรู้การเต้นที่ผมไม่เคยแตะมาตลอดยี่สิบปีนั้นยากลำบากมาก ผมไม่ค่อยมีใจให้มันและทำให้ร่างกายผมเคลื่อนไหวไม่ดี สภาพจิตใจยังสับสนช่วงออดิชั่นด้วย 


นอกจากผมกังวลเรื่องเต้นแล้วยังห่วงเรื่อง documentary ที่บันทึกวิดีโอของคนที่จะไม่ผ่านด้วย สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือ: “ผมอยู่ในกลุ่มไอดอล นั่นหมายความว่าผมต้องเรียนเต้น?” และพวกรุ่นพี่ รุ่นน้อง และคนที่เคยร่วมงานกับผมจะคิดยังไง? ผมเคยบอกเล่าความรักในเสียงเพลงของผมตอนที่ยังเป็นแร็ปเปอร์ใต้ดิน พวกเค้าจะคิดว่าผมกำลังกลายเป็นนักร้องที่ตามรอยคนอื่นหรือเปล่า? ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัวผมทุกๆวัน


พี่ที่สอนผมเต้นดุผมหลายรอบในแต่ละวันเพราะผมมักมีความคิดต่อต้าน “เต้นไม่เป็นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่างน้อยก็พยายามหน่อยสิ! ถ้าไม่คิดจะพยายามเลยฉันก็สอนอะไรนายไม่ได้”


ยากลำบาก ไม่มีแก่ใจจะทำ ไม่ชอบผมใช้คำพวกนี้บอกพวกเค้าเสมอ


ถ้าเรามีภาพอนาคตของ BIGBANG ให้เห็นตอนนั้น ผมคงไม่กังวลมากมายขนาดนี้ ผมไม่เข้าใจว่าแร็ปเปอร์ที่ต้องเต้นคืออะไร ผมจึงสงสัยตัวเองมาตลอด หลังจากที่เถียงกับตัวเองในใจผมก็ได้ขอสรุป “ถึงแม้ผมจะไม่คิดจะมาเป็นแร็ปเปอร์ที่เต้นได้ แต่ถ้าเรื่องแค่นี้สกัดกั้นไม่ให้ผมออดิชั่นผ่านล่ะก็ ผมไม่ยอมหรอก ถ้าศิลปินฮิปฮอปที่ประสบความสำเร็จอย่าง MC Hammer & Lil Fizz แห่ง B2K ยังแร็พและแสดงหนังได้ ผมก็ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเพิ่มทักษะแร๊พและให้ความสุขกับคนดูได้พอคิดได้แบบนี้ ความรู้สึกคัดค้านในใจก็หายไปหมดสิ้น


พูดจริงๆแล้ว คงจะเป็นเรื่องน่าตลกน่าดูถ้าผมอดเป็นส่วนหนึ่งของ YG เพราะเต้นไม่เก่ง แถมตอนที่ผมเริ่มเป็นเด็กฝึกผมทนไม่ได้กับความคิดที่จะต้องอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน ผมคิดว่า “ถ้าผมตั้งใจฝึกตั้งห้าชม.แล้ว ผมน่าจะได้ออกไปข้างนอกใช้ชีวิตตามสบายบ้างสิ?” ผมคิดว่าสิ่งนั้นสำคัญกว่าการเต้นซะอีก
อีกความคิดหนึ่งคือ ผมคิดว่ามันโอเคที่ผมจะปลีกตัวอู้เวลาเราซ้อมเต้นกัน พอคิดย้อนกลับไป ถ้าเราไม่ปฎิบัติให้เท่าเทียมกันตอนที่ยังเป็นเด็กฝึก กลุ่มที่ชื่อว่า BIGBANG คงไม่ออกมาแข็งแกร่งขนาดนี้ คุณ YG คงคิดแบบนี้เช่นกันตอนที่เค้าสร้างกลุ่มขึ้นมา


เริ่มเป็นคนก่อนที่จะเป็นนักร้อง ตั้งแต่เด็กผมไม่ค่อยใส่ใจอะไรอยู่แล้ว แต่หลังจากผ่านเรื่องลำบากมามากมาย ติดอยู่ในห้องที่ตัวเองทนไม่ได้ ทิฐิของผมก็เริ่มคุกกรุ่น ถ้าผมยอมแพ้การออดิชั่นครั้งนี้ ชีวิตที่ผมมีตอนนี้คงเหลือเป็นแค่ความฝัน


ความเชื่อของผมที่ชอบฮิปฮอปแล้วต้องมาฟังเพลงแนวอื่นเป็นความคิดต่อต้านที่อันตราย ถ้าแร็ปเปอร์คนนั้นเก่งจริง เค้าต้องสามารถทำได้ทุกอย่าง ไม่เพียงแค่แร๊พ แต่ต้องร้องเพลงโฟล์ค เพลงรัก หรือว่าเต้นได้ การได้ซ้อมกับสมาชิก BIGBANG เป็นเรื่องที่น่าสนุกทุกวัน โดยเฉพาะการได้ทำงานกับจียง การสร้างสมดุลเสียงสูงของเค้ากับเสียงทุ้มต่ำของผมทำให้เพลงของเราไหลลื่นเข้ากันได้ดี


ถ้ามีอะไรซักอย่างที่ผมอยากได้ ผมจะเชื่อมั่นในตัวเอง จะพยายามและใช้ความสามารถที่สั่งสมมา แม้ว่าเราจะสนุกทุกครั้งที่ไขว่คว้า แต่การตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเดินตามทางที่ต้องการก็สำคัญเช่นกัน


ถ้าผมมีโอกาสก็จะกังวลน้อยลง ถ้าผมพลาดก็แพ้ แต่ถ้าคว้ามันไว้ได้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี






Source: BIGBANG’s Shout out to the World
Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by: icys.exteen

0 comments:

แสดงความคิดเห็น