Flag Counter

free counters

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

Shout out to the world: TOP's part #2

Disclaimer: This work is a joint effort between my friend and I. It is merely a fan translation and has no relation to any of the original works. We have no affiliation with the publisher, Sam and Parkers. This translation is unofficial and the ideas and opinions are strictly personal. This material is for fans’ personal use and shall not be reproduced, modified, and redistributed for any purposes whatsoever. Furthermore, this translation shall not be reposted to any blogs, sites or forums under any circumstances.

Disclaimer: งานแปลนี้เป็นผลงานแปลของแฟนๆระหว่างฉันและเพื่อน ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักพิมพ์ Sam and Parkers ไอเดียและความเห็นทั้งหมดจึงเป็นความคิดส่วนตัวของฉันเท่านั้น บทแปลนี้สำหรับแฟนๆและไม่ควรถูกก๊อปปี้ แก้ไข และแจกจ่ายไม่ว่ากรณีใดก็ตาม อีกทั้งบทแปลนี้ไม่ควรถูกแปะในบล๊อก เว็บไซด์หรือเว็บบอร์ดใดๆไม่ว่ายังไงก็ตาม

(เค้าไปขออนุญาตมาจาก jwalkervip เป็นกรณีพิเศษสำหรับ VIP ชาวไทยค่ะ ^_^)

Source: BIGBANG’s Shout out to the World
Translation by: jwalkervip.tumblr.com, ___ladyC@twitter
Thai Translation by: icys.exteen



บทที่ 6 :: สร้างสีสันของตัวเองตามลำพัง


บางครั้งผมก็มีความคิดว่า ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่ได้พูดเพราะอยากจะกลับไปเป็นเด็กหรืองอแงอะไรหรอกนะครับ แต่ที่ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่เพราะผมอยากสร้างเพลงของตัวเองและการแสดงต่อไปเรื่อยๆ ผมอยากเป็นที่จดจำในฐานะคนที่มีความปรารถนาอันสูงส่ง และจะพยายามต่อไปในฐานะสมาชิกของ BIGBANG เพื่อเติมเต็มชีวิต แม้ว่าจะมีโอกาสอันน้อยนิดแต่ผมอยากจะเป็นนักดนตรีที่รักของทุกคนไม่ว่าผู้ชมหรือใครก็ตาม

ความตั้งใจที่จะแสดงตัวตนของผมเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่พอได้ยินบางคนคุยกันเรื่องของ ผู้สร้างเพลง กับ ดารา และต่างคาดหวังที่จะเห็นสิ่งเดียวกัน มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

เวทีเป็นสถานที่ๆดีที่สุดสำหรับการแสดงของนักร้อง ส่วนจอเงินเป็นที่ๆดีที่สุดของดารา พวกเขาจะแสดงสิ่งที่ ดีไร้ที่ติ ภายในหัวของเขา เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ซึ่งผมมักจะเขินอายและกลัวเพราะไม่รู้จะทำอะไร ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น ไม่อยากเป็นไอดอลที่เหลาะแหละหรือเสียภาพพจน์ของตัวเองไป 


ในเพลงของอัมจังฮวา ‘DISCO’ ผมได้บอกความรู้สึกไปในแร๊พหมดแล้ว “เมื่อถึงเวลาหนึ่งผมสูญเสียตัวตนหลังจากถูกลากจูงมานานชีวิตที่เรียบง่ายหายไปไหนกัน” 


ในปี 2008 ผมได้ร่วมแสดง MV เพลงของพี่กอมมี่ ‘I’m Sorry’ ผมทำดีที่สุดเพื่อแสดงอีกด้านของผมออกมา เพราะผมเชื่อว่า ก็ฉันเป็นทั้งดาราและนักร้องนี่นามันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ

ถ้าคุณใช้เหตุผลของผมและฟังแร๊พที่ผมเขียนไปเมื่อหลายปีก่อนล่ะก็ คุณจะเห็นว่าสีสันในเพลงของผมเปลี่ยนไป ผมกำลังสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองและกำลังค้นหามันอยู่ ผมอยากจะสร้างความรู้สึกแตกต่างในเสียงของท๊อปให้ทุกคนได้ยิน เสียงของผมจะแผ่วเบาหรือดังขึ้นก็ได้ ทุกครั้งที่มีเพลงใหม่ ผมจะใช้เวลาไปกับการค้นหาเสียงของผมที่เข้ากับเนื้อเพลงมากที่สุด






ท๊อปอา ทำเพลงอีกสิ

จนถึงตอนนี้เพลงโซโล่ ‘Big Boy’, ‘As if Nothing’s Wrong’, และเพลง A Good Man เป็นเพลงที่ผมมีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นมา แม้ว่าผมเขียนท่อนแร๊พมามากมายแต่การทำเพลงยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม


ผมเคยหัวเสียกับแนวดนตรี ไม่รู้ว่าจะสร้างออกมาแนวไหนดี เร็วๆนี้ผมยิ่งสับสนมากขึ้นเมื่อต้องสร้างเพลงให้คนในช่วงอายุ 10-20 ปีและอายุ 30-40 ปี ผมอยากจะสร้างและผสมผสานแนวเพลงหลากหลายให้ทุกคนสร้างสนุกกับมันได้ ด้วยเหตุนั้นผมจึงเริ่มฟังแนวเพลงที่แตกต่างจากรสนิยมเช่นเพลงคลาสสิค เพื่อนยังแนะนำเพลงแนวร๊อคผสมแจ๊สของนักดนตรีชาวฝรั่งเศส Tete ด้วย ผมเริ่มเรียนรู้การใช้ดนตรี แสดงความรู้สึกที่หลากหลาย


หลังจากร่วมทำเพลง ‘A Good Man’ กับพี่คุช ท่านยางให้ของขวัญหลังจากฟังเพลงของผม มันคือเครื่องสร้างทำนองเพลง MIKO เป็นรุ่นพิเศษที่มีลายเซ็นของ Timberland และเพลงที่เขาเคยทำบรรจุอยู่ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เครื่องสร้างทำนองเพลงแบบนี้ถูกอิมพอร์ทเข้ามาในเกาหลี ผมสามารถต่อเข้ากับคอมและใส่เพลงเข้าไปได้นับล้าน นอกจากนี้ยังมีกล้องและคีย์บอร์ดด้วย ด้วยสิ่งนี้ ไม่ว่าใครก็สร้างเพลงได้

เมื่อท่านยางให้ของขวัญนี้กับผม เขามาพร้อมข้อเสนอที่ท้าทาย “ท๊อปอา ถ้านายทำเพลงมากกว่านี้ก็จะดีนะ ใส่จินตนาการของนายเข้าไปในเครื่องนี้และสร้างเพลงที่แตกต่างออกมาสิ” หลังจากที่ได้เครื่องนี้มาความปรารถนาของผมก็ยิ่งเพิ่มพูน

ผมยังสับสนกับบางอย่างในตอนนั้น แต่หลังจากได้เครื่องนี้มาผมก็ฝึกใช้อยู่ 3 วันไม่หลับไม่นอน 20 วันหลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปไหนเลย ผมลองเจ้าเครื่องนี้ทุกวันจนกลายมาเป้นงานอดิเรกไปแล้ว
แม้ว่าสมาชิกทุกคนจะมีนิสัยแตกต่างกันไป แต่ผมอยากจะหลุดจากภาพของท๊อปที่ทุกคนเห็นกัน ผมจึงเขียนประโยคนี้ลงในไดอารี่


“จงเป็นผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงซะ!


“คำว่าตัวฉันไม่เคยถูกสลักลงบนหิน ดังนั้นจึงมีแค่ตัวฉันที่สร้างตัวตนของตัวเองได้”


ผมอยากก้าวไปอีกขั้นและกลายเป็นผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง






ท๊อปที่ร้องเพลง กับท๊อปที่แสดงหนัง

เดือนกรกฎาฯปี 2007 ผมกลายเป็นนักแสดงใน MV เพลง ‘Hello’ ของ Redroc ผมไม่เคยมีประสบการณ์การแสดงมาก่อนเว้นแต่คุณจะนับตอนที่ผมไปแสดงในโฆษณา ผมไม่ได้เครียดที่ต้องแสดงเดี่ยว แค่ตื่นเต้นกับโอกาสครั้งใหม่นี้มากกว่า เช่นการเรียนเทคนิกที่ใช้ร่างกายทั้งหมดแสดงความรักและผิดหวังออกมาอย่างตอนที่ผมโกนหัวตัวเอง

เมื่อนักแสดงได้สคริปมาตอนแรก พวกเขาดีใจเพราะว่าจะได้ลองมีชีวิตในบทบาทของคนอื่นบ้าง นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแบบนั้น มันเป็นการประสบความสำเร็จครั้งใหญ่สำหรับผม นอกจากจะเป็นนักร้องได้แล้วผมยังเป็นนักแสดงด้วย เมื่อเวลาผ่านไปความต้องการจะแสดงก็เพิ่มมากขึ้น ผมอยากที่จะแสดงในหลายบทบาทไม่ใช่แค่แสดงได้ดีในบทๆเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะไปถึงเป้าหมายที่อยากเป็นโปรดิวเซอร์ ผมอยากได้ประสบการณ์ในทุกด้านมากที่สุด

ถ้าผมรีบร้อนอยากจะทำอะไรซักอย่าง ผมจะเริ่มทำทันที เมื่อผมบอกว่าผมอยากเป็นนักแสดงในละคร ท่านยางก็ช่วยผมด้วยการลงคอร์สเตรียมตัวนักแสดง หลังจากเข้าคอร์สได้ 2 ครั้งคุณครูก็ให้คำแนะนำว่า “ถ้าอยากแสดงให้ดี ต้องแก้การออกเสียงก่อนนะ” แม้ว่าจะเป็นคำแนะนำที่สมเหตุสมผลแต่กลับทำให้ผมคิดต่างออกไป ผมไม่ได้อยากแสดงตามที่เรียนในโรงเรียนและเสียเอกลักษณ์ของตัวเองไป แต่ผมก็ยังไปสอบการแสดงและทำข้อสอบอย่างตั้งใจ

ผมได้บทในเรื่อง ‘I am Sam’ ซึ่งเป็นบทเด็กเกเรประจำโรงเรียน ผมพยายามอย่างมากเพื่อที่จะแสดงให้เป็นธรรมาชาติมากที่สุด ทั้งศึกษาเรื่องสีหน้า ท่าทาง และอ่านบทซ้ำไปมาเพื่อที่จะใส่อารมณ์ร่วมกับบทบาท
แต่พอเข้าฉากถ่ายทำจริงก็รู้สึกถึงแรงกดดันมากมาย เมื่อผมรู้สึกแบบนั้นคุณผู้กำกับ ‘I am Sam’ คุณคิมจุงคย จะให้คำแนะนำดีๆแก่ผม เพราะว่าผมพูดไม่เก่งจึงมีปัญหาการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้พูดไม่เหมือนนักแสดงที่อายุเท่ากัน ผู้กำกับเห็นจุดนี้และรู้ว่าผมรู้สึกกดดัน เขาเข้าใจว่าไม่ใช่เพราะผมแสดงไม่ได้ แต่ผมแสดงความรู้สึกออกมาไม่เป็น

เขาไม่เคยปฎิบัติกับผมอย่างท๊อปจาก BIGBANG เลย แต่ปฎิบัติกับผมอย่างผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อชเวซึงฮยอน เขาบอกว่า “ฉันอยากจะสร้างนักแสดงหน้าตาดีจากละครเรื่องนี้” เขาให้คำแนะนำมากมายที่ทำให้ตัวตนของผมฉายเจิดจ้าในบทบาทนี้ ใบหน้าที่ไม่เคยถูกแสดงออกจะค่อยๆฉายออกมาผ่านละครเรื่องนี้ เขายังคอยบอกจุดแข็งที่ผมไม่เคยรู้และเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นเข้าด้วยกัน

นี่เป็นจุดแข็งของนาย รวมมันเข้าด้วยกันและพัฒนามันด้วยการซ้อมบ่อยๆนะผู้กำกับคิมกลายเป็นครูของผม เขาสอนผมมากมายเมื่อผมเริ่มแสดง สิ่งที่ผมรู้สึกปลาบปลื้มและไม่มีวันลืมคือหลายคนชื่นชมการแสดงของผม แม้ว่าตอนแรกเขาจะรู้สึกว่าผมเป็นแค่ นักร้องที่มาแสดงละคร

ผู้กำกับคิมยังบอกอีกว่า “ผู้คนมักจับตามองเศษกระดาษที่เต็มไปด้วยสีสัน เพราะว่ามันเด่นกว่าใคร แต่เศษกระดาษนั้นมันเต็มจนรับสีอื่นไม่ได้แล้ว ถ้าอยากจะเก่งกว่านี้นายต้องรู้วิธีดูดซับสีอื่นเข้ามาและผสมกับสีของตัวเองให้ได้”

หลังจากได้ยินประโยคนั้น ทุกเช้าผมจะตื่นขึ้นมาและฝึกตัวเองให้ลืมความชอบหรือความเศร้าเสียในของเมื่อวาน เพื่อให้จิตใจปลอดโปร่ง พร้อมจะเป็นกระดาษขาวบริสุทธิ์ต้อนรับวันใหม่ การทำแบบนี้เป็นวิธีที่ทำให้ผมรับสิ่งใหม่ได้ทุกวัน






ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ผมจะค่อยๆพัฒนาตัวเอง

แม้ว่าผมจะมีภาพพจน์ที่แข็งกระด้าง แต่จริงผมเก็บความคิดและความกังวลไว้มากมาย จิตใจของผมอ่อนแอ “ผมจะทำยังไงให้มันดีขึ้น?” “แล้วอะไรที่ผมทำได้ดีแล้ว?” เมื่อเกิดความคิดแบบนี้ผมก็ชอบกังวลเป็นเวลานาน เมื่อเร็วๆนี้ผมก็พยายามลดความคิดนี้ เพราะผมเคยเสียเวลาวัยรุ่นไป 1-2 เดือนคิดแต่เรื่องเดิมๆจนกลายเป็นนิสัยเสีย ก่อนอื่นผมต้องเชื่อในตัวเอง 'สิ่งที่ตัวเองเป็น' มากกว่านั่งกังวลว่าอะไรผิดถูก พอหมดความรู้สึกกดดันตัวเอง ผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตามความคิดใหม่

ในโลกนี้การไม่โลภมากคือนิสัยที่ดี แต่ความโลภที่แท้จริงคือ การสร้างตัวเองให้เป็นอย่างที่อยากเป็น ผมเคยมีประสบการณ์ไม่ดีในช่วงสมัยเด็ก แต่มันช่วยสอนให้ผมรู้จัก ก้าวข้ามอุปสรรคในตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นมันยังหยุดความคิดที่ว่าผม ไม่ดีพอ เมื่อเห็นข้อบกพร่องก็ต้องพยายามมากขึ้น ผมยังมีนิสัยโรคจิตตอนเปิดตู้เย็นด้วย ถ้าผมเรียงกล่องนมหรือนมถั่วเหลืองให้เห็นฉลากทุกกล่อง ผมจะรู้สึกดีใจ

ของสะสมของผมคือตุ๊กตาแอ๊คชั่นฟิกเกอร์ ได้เห็นฟิกเกอร์พลาสติกวางอย่างเรียบร้อยทำให้ผมอารมณ์ดี บางทีพวกศิลปินคงมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ถ้าวันไหนผมเหนื่อยหรือเหงา พอกลับมาบ้านได้เห็นฟิกเกอร์ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจ ผมก็เหมือนฟิกเกอร์เหล่านั้นที่ต้องคอยจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเสมอ


ไม่นานมานี้ผมได้ใช้เวลาคุยกับแม่นานมาก แม่พูดถึงคุณปู่ที่เคยเป็นนักเขียน และบอกว่า ”ผมกับคุณปู่เหมือนกันมาก” ปู่ของผมชื่อซีนกุนเบ ท่านเป็นคนพูดน้อยและมักคิดก่อนพูด ท่านเคยเขียนนิยาย “Alley” และบทภาพยนต์ “The Land of Korea” อีกด้วย ท่านใช้คำพูดแสดงความคิด สิ่งที่ท่านแสดงออกนั้นมักแตกต่างกับคนอื่น แต่คล้ายคลึงกับความคิดของผมมาก ท่านหัวแข็งและไม่สนใจที่จะทำให้เหมือนกับคนอื่นๆในสังคม แต่ท่านก็รักครอบครัวมาก บางทีเป็นเพราะผมใช้เวลาอยู่กับคุณปู่บ่อยมากเลยรู้จักท่านดี คุณปู่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม

3 อาทิตย์ก่อนที่ผมจะถ่าย MV “Hello” ตอนนั้น BIGBANG ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก เพลง Lies ยังไม่ออกด้วยซ้ำ สมาชิกแต่ละคนต่างเครียดและคิดว่า “เราจะทำได้เหรอ?” ผมก็เครียดเหมือนกัน เรากังวลกับ “ภาพลักษณ์ของเราในฐานะนักร้อง” ตอนนั้นคุณปู่ป่วยหนัก ผมอยากจะไปหาท่านแต่ว่าไปไม่ได้เนื่องจากตารางงานที่แน่นขนัด

วันหนึ่งคุณแม่โทรมาหาผมบอกว่าคุณปู่เริ่มอาการแย่ลง ผมทิ้งทุกอย่างและรีบไปโรงพยาบาล อาการของคุณปู่หนักมากจนท่านพูดไม่ไหว ท่านอาจจะรู้แล้วว่าท่านต้องจากไปในวันนั้น จึงรวบรวมกำลังทั้งหมดเขียนคำพูดที่ท่านอยากเอ่ยในกระดาษ

“ซึงฮยอนอา เซ็นลายเซ็นให้ปู่ด้วย”

แม้ว่าผมจะยอมทำตาม แต่ในหัวใจผมเจ็บปวดมาก มืออันสั่นเทาของคุณปู่จรดลายเซ็นของท่านข้างของผม และใช้เฮือกสุดท้ายเขียนต่อ

“ซึงฮยอนอา ถึงปู่จะตาย ปู่จะเอาลายเซ็นนี้ไปด้วย มันเป็นความทรงจำสุดท้ายของปู่ ดังนั้นหลานต้องไล่ตามความฝันให้ได้ เพื่อให้ลายเซ็นอันนี้มีค่า มันคงดีถ้าหลานของปู่ทำตามฝันได้”

ผมกุมมือคุณปู่และร้องไห้ นั่นคือคำขอสุดท้ายของท่าน เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่และให้กำลังใจแก่ผมมาก หลังจากนั้นไม่ว่าจะเจออะไร ผมจะเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ ไม่ว่าตอนไหนที่ผมเจอความลำบากผมจะนึกถึงคุณปู่ ท่านจะอยู่ในใจของผมเสมอ





ท๊อป พุ่งเข้าไปให้เหมือนกระทิงเลย!

เมื่อกำลังเจ็บปวด จงคิดว่ามันคือยารักษา หาใช่ยาพิษไม่

แม้ผมจะกลายเป็นนักร้องที่โด่งดัง แต่ถ้าพูดถึงช่วงวัยเรียนผมกลับไม่รู้จะพูดอะไร ผมไม่เคยชอบการเรียนเลย คงเพราะผมเกลียดข้อบังคับของโรงเรียนและรู้สึกเหนื่อยกับหน้าที่นักเรียน การไปโรงเรียนน่าเบื่อมากสำหรับผม ถึงผมไม่ได้ไป ผมก็ยังใช้เวลาทำอย่างอื่น ถึงต้องไปข้างนอกผมก็ยังต้องเขียน แร๊พ 16 ท่อนหรือ เนื้อเพลง 24 บรรทัดก่อนหลังจากนั้นกลายเป็นว่าผมอุทิศเวลาให้กับเพลงมาก และเริ่มออกไปเที่ยวกับเพื่อนน้อยลง

ผมหวังว่าคุณคงไม่ยึดผมเป็นแบบอย่าง “ถ้ามุ่งหน้าจะทำตามความฝัน ก็อย่าไปโรงเรียนเลย” ในชีวิตคนเราต้อง อดทนกับสิ่งที่เราไม่ชอบเสมอ มันโง่มากถ้าคุณเกิดเจออย่างอื่นที่ไม่ใช่ความฝันแต่ทำให้คุณละทิ้งการเรียน

มีคนนับไม่ถ้วนที่อยากเป็นนักร้อง แต่จำนวนน้อยกว่า 1% ที่ได้เป็นจริงๆ ก่อนที่จะลองลงมือทำคุณต้องแน่ใจว่านี่คือถนนสายที่คุณต้องการทั้งชีวิต ถึงจะมั่นใจแค่ไหนแต่น้อยคนที่จะเลือกทางเดิมแบบนี้


อย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกเสียใจเล็กน้อยคือ ถ้าผมตั้งใจเรียนสักนิด ผมจะได้เจออะไรบ้าง? เมื่อตอนเด็กผมได้รับประสบการณ์ที่เด็กหลายคนไม่เคยเจอ ทำให้ผมคิดว่าผมเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กพวกนั้น กล้าท้าทาย และ สนุกกับมันถ้าคุฯเลือกความฝันที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นรอบตัวคุณ คุณต้องสร้างความมั่นใจและความหลงใหลในสิ่งนั้น ถ้าใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปเจออะไรก็ค่อยคิดว่า เราคงชอบอันนี้มั้งนั่นอันตรายมากจนอาจทำให้ความฝันของคุณกลายเป็นฝันร้าย

ช่วงวัยเรียน นอกจากฮิปฮอปแล้วผมก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ดังนั้นจึงไม่มีถนนสายอื่นให้แก่ผม ถ้าพูดให้สวยงามคือผมติดในวังวนนั้นแต่แรก จากมุมมองคนภายนอกเห็นคงคิดว่าผมไม่มีอย่างอื่นทำเลยเข้าหาเพลงฮิปฮอปเอง

ความฝันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจเราทุกคน ไม่มีใครหยุดฝันได้ เหมือนกับภูเขาไฟระเบิด แต่การที่จะรู้ว่าเส้นทางของความฝันของคุณคือทางไหน คุณต้องสั่งสมความรู้ การเรียนเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณต้องรู้หนทางที่ต้องการเรียนรู้ ไม่งั้นความพยายามของคุณคงสูญเปล่า

สัญญาผูกมัดอนาคตจากโรงเรียนและครอบครัว คุณคงรู้สึกบางครั้งมันไม่เข้าท่า อาจจะรู้สึกรำคาญที่ต้องผังคุณครูบ่นงึมงำ แม้ว่ายังไม่รู้สึกกดดันเพราะยังไม่มีความฝัน แต่สักวันหนึ่งความฝันของคุณจะปรากฎ เมื่อเทียบกับอดีตที่คุณเตรียมตัวอย่างหนัก การได้เห็นตัวเองประสบความสำเร็จคงทำให้คุณหายเหนื่อยจริงมั้ย?

จงทุ่มเทให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เมื่อบางอย่างตรงหน้ากำลังชักชวนดึงดูดคุณ และคุณคิดว่า ถึงตายก็ต้องคว้ามาให้ได้คุณก็จะพร้อมที่จะเปิดรับความท้าทายนั้น


Source: BIGBANG’s Shout out to the World
Translation: jwalkervip.tumblr.com
Thai Translation by: icys.exteen

0 comments:

แสดงความคิดเห็น