Flag Counter

free counters

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Shout out to the world: TOP'S Final Part



Disclaimer: This work is a joint effort between my friend and I. It is merely a fan translation and has no relation to any of the original works. We have no affiliation with the publisher, Sam and Parkers. This translation is unofficial and the ideas and opinions are strictly personal. This material is for fans’ personal use and shall not be reproduced, modified, and redistributed for any purposes whatsoever. Furthermore, this translation shall not be reposted to any blogs, sites or forums under any circumstances.

Disclaimer: งานแปลนี้เป็นผลงานแปลของแฟนๆระหว่างฉันและเพื่อน ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักพิมพ์ Sam and Parkers ไอเดียและความเห็นทั้งหมดจึงเป็นความคิดส่วนตัวของฉันเท่านั้น บทแปลนี้สำหรับแฟนๆและไม่ควรถูกก๊อปปี้ แก้ไข และแจกจ่ายไม่ว่ากรณีใดก็ตาม อีกทั้งบทแปลนี้ไม่ควรถูกแปะในบล๊อก เว็บไซด์หรือเว็บบอร์ดใดๆไม่ว่ายังไงก็ตาม

(เค้าไปขออนุญาตมาจาก jwalkervip เป็นกรณีพิเศษสำหรับ VIP ชาวไทยค่ะ ^_^)

Source: BIGBANG’s Shout out to the World
Translation by: jwalkervip.tumblr.com, ___ladyC@twitter
Thai Translation by: icys.exteen






บทที่ 11:  ครอบครัวคาจอก สองคำที่ผมรู้สึกขอบคุณที่คอยให้กำลังใจผม

ครูจองยอกคยอง คุณครูประจำชั้นตอนม.6เป็นคนที่ผมจะไม่มีวันลืม พอได้เป็นเด็กฝึกที่ YG ผมเลยไปโรงเรียนน้อยลง จนถึงจุดที่ไม่สามารถไปโรงเรียนได้ แต่ครูประจำชั้นเชื่อในตัวผมและความฝันของผม ท่านคุยกับครูใหญ่และขอร้องให้ช่วยผ่อนผัน ด้วยความช่วยเหลือของครูประจำชั้นจึงทำให้ผมสามารถเรียนจบม.ปลายได้ และกลายมาเป็นสมาชิกของ BIGBANG


หากมีใครซักคนเชื่อมั่นและช่วยเหลือเรา เด็กทั้งหลายคงไม่โตเป็นคนเลว เมื่อคืนผมเห็นเด็กๆเดินเตร็ดเตร่บนถนน ผมคิดถึงวันที่ผมยังหลงผิด พวกเด็กที่ต่อต้านพ่อแม่ สูบบุหรี่และกินเหล้าให้ขาดสติ ทำอะไรขวางโลก ในสายตาผมยังถูกความทรงจำพวกนั้นพ่นพิษใส่


เด็กที่โตมากับสิ่งแวดล้อมแย่ๆก็เหมือนกับคนป่วย พวกเขามักคิดว่า “ฉันเจ็บปวดและทรมานขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครแคร์เลย” สำหรับคนที่ป่วยหนักและรอให้หมอรักษา ได้โปรดบอกพวกเขาว่า “มันน่าหัวเราะที่คุณต้องเป็นแบบนี้” และ “เดี๋ยวก็หาย” ไม่นานมานี้ผมเข้าโรงพยาบาล และต้องขอบคุณครอบครัวที่ผมเคยลืมไปแล้ว ที่ผมได้เป็นผมอย่างในทุกวันนี้ก็เพราะพวกเขาเชื่อมั่นและรักผม



ผมไม่ได้พูดดีๆกับครอบครัวผมมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากพูด แต่เพราะคิดว่าถ้าจู่ๆพูดไปคงจะเขินและไม่ชินแน่ๆ แม้ว่าทุกอาทิตย์แม่จะมาเยี่ยมที่โดมสองครั้งเพื่อทำอาหารให้ แต่เพราะคิวงานที่ยุ่งมากทำให้ไม่เจอกับท่านเลย ตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับแม่ทั้งคืน


เวลานั้นผมคิดเกี่ยวกับหลายสิ่ง ความรักที่ครอบครัวให้ผมที่ผมไม่เคยตอบแทน มันยิ่งใหญ่และอบอุ่นกว่าที่ผมคิด ผมเสียใจก็เลยไม่ได้พูดมันออกมา ผมเสียใจที่ไม่เคยพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ตั้งแต่นี้ผมจะโทรหาครอบครัวหลายๆครั้งหรือส่งแมสเสจทุกวัน ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหนการได้คุยกับครอบครัวไม่ใช่”หน้าที่ที่น่าเบื่อหน่าย”อีกแล้วแต่เป็น”ช่วงเวลาผ่อนคลายตัวเอง”มากกว่า


แม้ว่าเป็นแค่เรื่องธรรมดา แค่การมีกันและกันแค่นี้ก็มีค่ามาก ตอนที่ผมเจ็บปวดหรือเหน็ดเหนื่อย คนที่เคียงข้างผมคือครอบครัว อย่าลดความสำคัญพวกเขาเพียงเพราะเขาใกล้ชิดกับคุณอยู่แล้ว ครอบครัวของคุณควรสำคัญที่สุด














ในฐานะพี่ใหญ่ของ BIGBANG

ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีสมาชิก BIGBANG ที่ขยันขันแข็งและจริงใจต่อผม พวกเขาจับมือผมเวลาที่เหนื่อยล้าและให้ความเข้มแข็งเพื่อให้ผมเติบโต การเป็นพี่ใหญ่นั้นต้องอดทนเพื่อให้พวกเขามั่นใจในตัวผม ทำให้ผมรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น

ผมเป็นพี่ที่อยากช่วยน้องๆ ถึงจะโตกว่าเพราะอายุแต่ผมอยากให้พวกเขาคิดว่า “ฉันสามารถพึ่งพาพี่ท๊อปได้” ซึ่งผมจะพยายามเป็นให้ได้ นอกจากนี้ผมยังมีความสุขที่อายุมากที่สุดใน BIGBANG ด้วย

ไม่รู้จะเริ่มยังไง รู้สึกแปลกๆไม่รู้จะพูดอะไรดีครับ ในห้องซ้อมใต้ดินที่อบอ้าวเราเหงื่อท่วมตัวและหัวเราะด้วยกัน ลืมเวลาโลกภายนอกและซ้อมอย่างหนัก บางครั้งที่มันหนักหนาเสียจนอยากหนีไปให้พ้นๆเลยครับ แต่พอคิดถึงความทรงจำเหล่านั้นมันช่างเป็นดอกไม้ที่สวยงดงามที่สุดในความทรงจำวัยเด็ก

ผมไม่มีอะไรเลยแถมยังทำตัวไม่สมวัย แต่น้องๆก็ถือว่าผมเป็นพี่ ตอนแรกที่เราไปงานเปิดตัวพวกเราทั้ง 5 คนใส่ชุดสูทสีขาวและเก็กให้ถ่ายรูป ความเห็นแรกๆที่ได้ยินคือ “วงไอดอลหน้าตาน่าเกลียดอย่างงี้จะทำอะไรได้” และ “ดูหน่อยเถอะว่าจะไปได้ซักเท่าไหร่” เราไม่สนใจคำพวกนั้นและพยายามให้ดีที่สุด เราทั้ง 5 คนสนิทกันมาก เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ สำหรับคนที่คอยช่วยเหลือ พ่อแม่ที่อยู่เคียงข้างคอยดูแลเรา เพื่อที่จะตอบแทนพวกเขาเราควรจะพยายามให้มากขึ้น ให้มากกว่าที่ทุกคนคาดหวังมิใช่หรือ?

แม้ว่าผมจะเป็นพี่ใหญ่แต่ทุกคนคือเพื่อนสนิทของผม สมาชิก 4 คนที่เหลือบางครั้งก็เหมือนเป็นพี่ของผม เรามีนิสัยต่างกันแต่เราเป็นเหมือนพี่น้อง ขนาดใบหน้าเราตอนหัวเราะหรือร้องไห้ยังแทบจะเหมือนกันเลย ถ้าเราทำงานอย่างหนักเหมือนตอนนี้ ใน 10 ปีหรือ 20 ปีเราก็ยังอยู่ด้วยกัน วงที่ผู้คนจะได้ยินชื่อเสียงและอยู่ในใจผู้คนตลอดไป นั่นแหละ BIGBANG

นี่คือคำขึ้นต้นจดหมายที่ผมเขียนให้ BIGBANG เมื่อเราอ่านจดหมายทั้งแฟนและสมาชิกต่างน้ำตาซึม ด้วยความรักที่เหมือนกับหยาดน้ำตานั้นทำให้ผมอยากเป็นพี่ที่น้องๆสามารถพึ่งพาได้

ถึงอยากจะทำตัวเป็นพี่ แต่บางครั้งผมก็สร้างปัญหาและเซนซิทีฟเสียจนไม่อยากให้ใครมาแตะเส้นผมสักเส้น เวลาที่เป็นแบบนั้นผมจะอยู่ในห้องและคิดไปเรื่อยเปื่อยในโลกส่วนตัว ท่านประธานยางฮยอนซอกมักจะมาหาผมเสมอ ด้วยนิสัยที่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงทำให้ผมคิดแต่ในแง่ร้าย จนท่านประธานมันดุว่าจนผมน้ำตาร่วง ถ้าผมกำลังเริ่มเข้าสู่โหมดนี้ผจก.กับนูน่าที่ทำงานด้วยกันจะคอยมาเช็กผมและช่วยผมจนหาย

ประธานมักทำเสียงขึ้นจมูกและพูดกับผมว่า:

ท๊อปทำอะไรอยู่? เข้าโลกส่วนตัวอีกแล้วเรอะ?

จากนั้นท่านจะเรียกผมไปคุย เมื่อมีโอกาสท่านจะย้ำให้ผมคิดถึงคนที่ยังรักผมคนอื่นๆและมองดูตัวเองว่าผมมีคนรักมากขนาดไหน สำหรับผม ท่านประธานเหมือนกับพี่ชายและพ่อของผม ผมคิดว่าทุกคนใน BIGBANG ก็รู้สึกเหมือนกัน

มีบางประโยคที่ท่านประธานชอบบอกผม:

ในโลกนี้มีคนมากมายที่ทำร้ายตัวเอง พวกเขาดูถูกตัวเองจนนอนไม่หลับ คนพวกนี้ไม่สมควรได้รับความรักจากคนอื่นและควรเปลี่ยนความคิดด้วยการมองเห็นความเข้มแข็งและอ่อนแอในตัวเอง หัดชมตัวเองบ่อยๆ นิสัยแบบนี้ทำให้เราเรียนนรู้ที่จะรักตัวเองและภูมิใจในตัวเองมากขึ้น

ใช่แล้ว การถ่อมตัวกับการดูถูกตัวเองน่ะคนละเรื่องกัน ก่อนที่จะเข้า YG ไม่เคยมีใครบอกผมเลยว่าผมสามารถสยายปีกให้กว้างได้ ทุกคนต่างมีปีกกันคนละคู่ที่สามารถบินไปในท้องฟ้าอันมืดมนได้ อย่าลืมว่าปีกล่องหนคู่นี้มาจากความรักตัวเอง

ได้เห็นท่านประธานที่ให้เราเริ่มรู้ตัวว่าผมมีความฝันอีกอย่าง เมื่อผมโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมอยากจะเป็นคนที่ช่วยเหลือคนที่มีปัญหาแบบผม แม้จะเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่แต่ผมจะทำให้มันเป็นจริงให้ได้














ผมมีขามากมายที่จะลุกขึ้นยืนหลังจากล้มไปแล้ว 8 ครั้ง

นี่คือไตเติ้ลในไดอารี่ใน homepage ที่ผมเคยเขียน

พูดจริงๆแล้วภายใต้ความหรูหราของการได้เป็นเซเลบ การบังคับตัวเองนั้นต้องข้ามผ่านจินตนาการของตัวเอง เซเลบทำงานภายใต้สายตาของสื่อ ดังนั้นการถูกยัดความเห็นแย่ๆหรือข่าวลือนั้นง่ายมาก ในกรณีของ BIGBANG สมาชิกแต่ละคนความคุมตัวเองได้ดี เราไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกและไม่ค่อยสนิทกับดาราคนอื่นๆ

ตอนที่ผมยังเป็นแร๊ปเปอร์ใต้ดินผมใช้ชื่อว่า TEMPO ชีวิตของ TEMPO นั่นสำคัญ ผมชะลอชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายด้วยชื่อนั้น เมื่อผมเดบิวเป็น BIGBANG ผมย่อชื่อเหลือแค่ TOP ชื่อ TOP จึงเป็นตัวแทนของ TEMPO

ด้วยความที่ตารางงานยุ่งมากจนเหนื่อยแทบตายทำให้ผมรู้สึกว่าผมควรกระหายมากกว่านี้ ถ้าไม่ทำเสียตอนนั้น ผมคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอีก

น้ำหอมที่หอมที่สุดในโลกมาจากกุหลาบบนภูเขาบอลข่าน เพื่อที่จะทำน้ำหอมที่หอมที่สุดพวกเขาต้องฝ่าอากาศที่หนาวเย็นที่สุดไปเก็บดอกไม้ตอนตี 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลิ่นหอมของดอกไม้ดีที่สุด เฉกเช่นดอกกุหลาบอื่นที่ส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนในอากาศที่หนาวเหน็บ เหมือนกับชีวิตของคนเราที่ต้องผ่านอุปสรรคมากมายก่อนจะส่งกลิ่นหอมได้

ในขณะที่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อเข้ามหาลัย เราวางมือเรื่องการเรียนและไล่ตามดนตรีที่ชอบ คนอื่นที่สนุกกับการไปแคมป์ เราต้องอยู่ในห้องซ้อม ซ้อมจนกว่าจะพอใจ ตอนนี้เราได้เป็นสิ่งเราต้องการที่สุดในโลกแล้ว เราไม่มีเวลามานั่งคิดว่าชีวิตของเราต่างจากคนอื่นยังไงหรอกครับ

เมื่อครั้งแรกที่ผมฝันอยากเป็นแร๊ปเปอร์มากกว่านักร้อง ผมเขียนเหตุผลที่ผมอยากเป็นแร๊ปเปอร์ลงในเนื้อเพลงและครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน ถ้าแร๊ปโดยไม่กังวลอะไรเลยก็เป็นแค่พูดบ่นไปเรื่อย การแร๊ปช่วยให้ผมแสดงสิ่งที่อยู่ในใจออกมาสู่โลกภายนอก

ผมชอบเวลามีความเห็นหลากหลาย หลังจากคิดไตร่ตรองจนได้ข้อสรุปแล้วผมจะทะยานต่อไปอย่างกล้าหาญ “เส้นทางนี้จะจบลงเมื่อไหร่?” ความอยากรู้ไม่สิ้นสุดและรอคอยอย่างคาดหวังนั้นผมฝังมันในความคิดของผมจนถึงทุกวันนี้








พวกสต๊าฟคิดยังไงกับ TOP


เจ้าแห่งความขี้สงสัย ชอบทดลองด้วยตัวเอง

ในตอนแรกสมาชิกที่เกลียดการออกกำลังกายที่สุดคือท๊อป เพราะว่าเราไม่ค่อยได้เจอกันทำให้ยิ่งตามตัวท๊อปยากขึ้นไปอีก ผมคิดว่าตอนที่เขาได้รับบทใน I am Sam ทำให้เขาเริ่มออกกำลังหาย จากนั้นเราก็ออกกำลังกายด้วยกัน เมื่อเขาตั้งใจกับสิ่งหนึ่งเขามักจะตื้อถามอย่างน่ากลัว เขาเป็นพวกที่ต้องการเหตุผลก่อนจะลงมือทำ ถ้าเหตุผลนั้นยังคงอยู่ เขาก็จะทำแต่สิ่งนั้นจนไม่สนใจเรื่องอื่นเลย

เขาขี้สงสัยมาก เมื่อเกิดสงสัยอะไรขึ้นมาเขาจะไม่ยอมลดละเพื่อหาคำตอบ เมื่อมีเวลาว่างเขาจะทดลองอะไรพิสดารและโพล่งถามขึ้นมาลอยๆ อย่างเช่นตอนที่เขาโทรหาผมกลางดึกบอกว่า “ซาบูนิม! ผมมีเรื่องจะถาม สเต็ก 2 ที่กับพอร์คช็อป 2 ที่ อันไหนแคลอรี่เยอะกว่าครับ?” หรือไม่เขาก็จะเล่าเกี่ยวกับ การทดลองส่วนตัวเรื่องการกินไข่ขาวต้ม 5 ฟองหรือกินไข่ต้มรวมไข่แดง 2.5 ฟอง อันไหนจะสร้างกล้ามเนื้อได้มากกว่าแบบนี้แหละครับ เขาพอใจเมื่อได้ทดลองด้วยตัวเอง ถ้าผลลัพธ์ออกมาดี เขาก็ยิ่งทำต่ออย่างตั้งใจเลยล่ะ

จริงๆแล้วเทรนเนอร์ไม่ใช่แค่คนที่คอยบอกว่าต้องออกกำลังกายยังไง นอนตอนไหน ตื่นตอนไหน กินตอนไหนและกินอะไร กินขนมตอนไหน ระหว่างอัดเสียงหรือซ้อมควรทำอะไร เขาต้องคอยบอกทุกเรื่องที่ต้องทำใน 24 ชม.เลยล่ะ ถ้าไม่ได้บอกก็คงไม่ใช่เทรนเนอร์

ในตอนแรกท๊อปเป็นคนประเภทที่ติตัวเองทุกอย่างทำให้เขาเป็นคนคิดมากและซึมเศร้า แต่เมื่อเขาเจอจุดมุ่งหมายในการออกกำลังกายและได้เห็นผลของมัน เขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเขาเชื่อใจคุณแล้วเขาก็จะขี้เล่นและบางครั้งชอบทำอะไรเหมือนเด็กๆ

วันหนึ่งเขาเข้ามาหาผมและบอกว่า “ซาบูนิม ผมขโมยส้ม 2 ผลมาให้แหละ” เขาเอ่ยพลางยิ้มกว้างพร้อมกับชูส้มให้ดู

--ฮวังซางบู, เทรนเนอร์



มอบความอบอุ่นจากหัวใจ และถ้ามีสิ่งดีๆก็พร้อมจะแบ่งปัน

ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ภายนอก เขาเป็นคนที่น่ารักมาก ปีแรกที่เจอกันฉันไม่เข้าใจนิสัยเข้าเลย เขานิ่งมากและไม่ค่อยพูด ฉันเลยคิดว่าเขาเป็นคนเงียบๆ แต่กลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไป คนที่สนิทกับเขาจะรู้ว่าเขาตลกและชอบเล่นมุขทุกครั้งที่มีโอกาส บนเวทีเขาก็จะเปลี่ยนไปอีก เสน่ห์ที่เขาโชว์บนเวทีและการที่กุมหัวใจผู้ชมแบบนั้น ฉันสงสัยว่ามันซ่อนอยู่ในตัวเขาได้ยังไง

จุดแข็งของเขาคือความอ่อนโยน เขาชอบแชร์ความคิดกับคนอื่น จู่ๆก็เอาของขวัญมาเซอร์ไพรส์ฉัน หรือจู่ๆก็โทรมาหาและบอกว่า “นูน่า~ ผมคิดถึงเลยโทรมาหา” และจะถามสารทุกข์สุกดิบของฉัน ถ้าเขาได้ชิมอะไรที่อร่อย เขาก็ไม่รีรอที่จะบอกเพื่อนๆ เขามัก ตื่นเต้นที่ได้เจอของที่อร่อยที่สุดในโลกเสมอ ทุกคนรู้ว่าเขาไม่ได้แสร้งทำแต่เพราะต้องการแสดงความรู้สึกของเขาจริงๆ

สิ่งที่น่ารักเกี่ยวกับเขาอีกอย่างคือเขารักแม่มากๆ ต่างจากเด็กคนอื่นในเกาหลี ท๊อปอ่อนโยนกับแม่เสมอ เขาและแม่มักไปเดทที่ร้านกาแฟเสมอ

แม้ว่าเขาคิดและพูดช้า เมื่อเขายึดติดกับอะไรบางอย่างก็จะยึดอยู่อย่างงั้นไม่สนใจอย่างอื่น ถ้าเขาเจอกางเกงที่ชอบ พรุ่งนี้ก็จะใส่อีก ถ้ายอมให้เขาใส่เป็นเดือนเขาก็จะทำ ถ้าเจอไอสกรีมรสที่ชอบเขาก็จะมันจนกว่าจะเบื่อเลย แม้ว่าจะไปพักที่อื่น แต่เขาจะโทรไปเบอร์ 114 เพื่อถามทางไปร้านไอสกรีมแถวนั้น

--จีอุน, สไตลิสต์

                                                      -End-

                                              Thank you all for the support! 

0 comments:

แสดงความคิดเห็น