Flag Counter

free counters

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] 090311 สัมภาษณ์ Bigbang กับ 10 asia

เราสามารถจำกัดความได้ว่าโลกของเรานั้นเกิดขึ้นจากการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่า "big bang"
แน่นอนว่าประโยคที่กล่าวมานี้ เป็นการพูดในเรื่องของ ดาราศาตร์ ว่าด้วยการกำเนิดของโลก
หลังจากเกิดบิกแบงขึ้น ในอวกาศที่ว่างปล่านั้น ก็มีโลกกำเนิดขึ้นมา

วงดนตรีบิกแบง ได้สร้างเหตุการณ์ที่สมกับชื่อวงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนด้วย มินิอัลบั้มชุดที่ 4 ของพวกเค้าหลังจากที่ไม่ได้คัมแบคมากว่า 2 ปีกับอีก 3 เดือนเพลงทุกเพลงในอัลบั้มนี้ต่างทะยานขึ้นสู่อันดับตามชาร์ตต่างๆมากมายและสถานนีโทรทัศน์หลักอย่าง SBS และช่องทางเคเบิลหลักอย่าง Mnet
ถึงกับต้องจัดรายการพิเศษ แยกให้พิเศษสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ของพวกเค้าเลยทีเดียว

ในวันที่ 4 มีนาคม บิกแบงได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับเราว่า พวกเค้าไม่อยากคุยเรื่องที่ว่า
เพลงของพวกเค้าไต่อันดับไปสูงแค่ไหน หรือ คุยเรื่องของแผนการการโปรโมทเพลงแต่พวกเค้าต้องการที่จะพูดคุยถึงความพยายามของพวกเค้าที่จะสร้างกลุ่มไอดอลในแบบใหม่ขึ้นมา รวมถึงความหวังของพวกเค้าต่อวงการเพลง

และข้างล่างนี้คือ ส่วนนึงของบทสัมภาษณ์ของพวกเค้าในวันนั้น



Q: พวกเราสนุกกันมากเลย ในตอนที่ได้ดู Secret Big Bang. [พาโรดี้ที่บิกแบงทำเลียนแบบซี่รีย์เรื่อง Secret Garden] (หัวเราะ) พวกคุณได้นำเอาไปฉายที่งานคอนเสริ์ตบิกโชว์ แล้วมีแผนจะนำออกไปฉายที่ช่อง SBS รึเปล่าค่ะ??
G-Dragon (GD): ครับ มีแผนครับ

Q: อย่างงั้น การแสดงในครั้งนี้คงสร้างความกดดันให้กับทุกคนมาตั้งแต่ต้นเลยไม๊ค่ะ??
T.O.P: ครับ เรารู้สึกกดดันตั้งแต่ที่ต้องมาคัมแบคหลังจากที่หายไปนานกว่า 2 ปี3 เดือน แล้วละครับ
อีกอย่างมีคนที่ชื่นชอบในตัวซี่รี่ย์ เวอร์ชั่นปกติมาก ดังนั้นเราก็ยิ่งพยายามที่จะทำให้มันตลกนะครับ

GD: เราคงจะไม่สามารถที่จะทำให้มันออกมาตลกแบบนี้ได้ถ้ามันจะถูกฉายแค่ในคอนเสริต์ของเราครับ
แต่นี่มันจะถูกนำออกไปฉายที่ช่องโทรทัศน์ทั่วประเทศอีก ดังนั้นเราเลยถ่ายทำและพูดบทเหมือนกับละครทีวีปกติเลยครับ


Q: พวกคุณพูดถึงความกดดันจากการทำพาโรดี้ ฉันคิดว่าคุณคงรู้สึกกดดัน แบบเดียวกันนี้
กับการที่ทางSBS และ Mnet จัดรายการพิเศษเพื่อการคัมแบคของพวกคุณโดยเฉพาะด้วยใช่ไม๊ค่ะ??

T.O.P: สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกกดดันมากที่สุดคือเรากังวลว่าคนจะเข้าใจผิดคิดว่าเราได้รับการปฏิบัติที่เหนือกว่าคนอื่นครับ เป็นเพราะแบบนั้นเราจึงพยายามให้มากขึ้นอีกเพื่อแสดงให้คนเห็นว่าเรากำลังทำอย่างดีที่สุดและเราทุ่มเทกับการแสดงที่เรากำลังทำอยู่อย่างมากจริงๆ



Q: ความรู้สึกที่จะต้องขึ้นแสดงด้วยความรู้สึกกดดันแบบนั้นเป็นครั้งแรกหลังจากหายไปนานมันเป็นยังไงค่ะ??? ตลอด 2 ปี 3 เดือนที่ผ่านมา พวกคุณล้วนแยกย้ายไปทำงานเดี่ยวที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากๆด้วย
Seungri: มีคนมากมายเลยครับพูดแบบนี้กับเราเมื่อได้ยินว่าเราจะคัมแบค พวกเค้าถามว่า คุณจะทำยังไงละถ้าคนมองพวกคุณในฐานะศิลปินเดี่ยว แทนที่จะมองพวกคุณโดยรวมในฐานะที่เราเป็นวงบิกแบง
เพราะสมาชิกแต่ละคนต่างก็ได้รับภาพที่มั่นคงในวงการต่างๆ หลังจากที่ผลักดันกิจกรรมในงานเดี่ยวออกมามากในฐานะศิลปินเดี่ยว หรือ ในส่วนของจียงภาพเค้าก็ชัดเจนมากในตอนที่เค้าออกอัลบั้มเดี่ยว
แต่ในตอนนี้เราขึ้นเวทีในการคัมแบค เราสามารถทำงานเข้าขากันได้ดีและดูดีในแบบกลุ่ม
เราทำงานกันอย่างหนักมากเหมือนกับว่าเราเป็นนักร้องน้องใหม่อีกครั้ง เพื่อที่จะแสดงออกให้ดีที่สุด ครับ

T.O.P: เราทำงานกันอย่างหนักเสมอครับ (หัวเราะ)
Seungri: ใช่แล้วฮะ แต่ตอนนี้หนักขึ้นเป็นสองเท่าเลย หัวหน้าวงของเราก็ตั้งใจที่จะให้มีการซ้อมมากขึ้นอีก ให้ถึงจุดที่ว่า ถ้าใครรั้งท้ายจะต้องจ่ายค่าปรับ แน่นอน
T.O.P: จริงๆแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเคยกังวลกันมากทีเดียวครับ
แต่ผมคิดว่าผู้คนในตอนนี้ก็ต้องการงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวของพวกเราแต่ละคน
เหมือนกับที่เราแสดงออกไปในตอนทำงานเดี่ยวด้วย
ซึ่งเราก็ภูมิใจในศักด์ศรีของเราที่ว่า เราคงไม่ได้มีจุดนี้ถ้าเราไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกวง บิกแบง
และเราคิดเสมอว่าต้องการที่จะแสดงออกด้านที่หลากหลายของเราออกมาให้มากที่สุด
ถึงกับจุดที่ว่า ไม่มีอะไรที่มากเกินไปเลยครับ



Q: ถ้าเป็นแบบนั้นพวกคุณเริ่มต้นการทำงานในอัลบั้มนี้กันยังไงค่ะ???
คุณจำเป็นต้องตั้งใจไว้เลยไม๊ว่าจะต้องทำตามแบบแผนแบบที่เคยปฏิบัติมา
เพื่อให้การทำงานร่วมกันในครั้งนี้ ออกมาได้ผลดี??

GD: เราพยายามจะไม่ทำแบบที่ทำๆมาครับ เราไม่อยากให้อัลบั้มออกมาแล้วดูไปในแนวทางนั้นเกินไปครับ เราทำงานในอัลบั้ม มา กว่า 2 ปี ครึ่ง 1ปีครึ่ง ให้หลังมานี้ เราจึงได้ เพลง tonight ออกมา
เหมือนกับที่ซึงรีได้พูดไว้ว่า อัลบั้มของพวกเราจะต้องให้เสียงที่มาจากการทำงานร่วมมือกันของนักร้อง 5 คน แต่อารมณ์ที่เพลงจะให้ออกมาไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นก้ได้ ผมคิดว่าบิกแบง มีความหมายว่าเราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัวแค่ไหน ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันมากแค่ไหนหรือไม่เหมือนกันมากแค่ไหน มันก็ดูว่าเราผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ผมคิดว่าเพลงของเรา แสดงออกมาได้อย่างดีว่าเราเข้ากันดี และส่วนตัวผมแล้วผมสนุกมากกว่าในการทำงานเพลงแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังเผชิญกับความยากอะไรเลยครับ


Q: ฉันคิดว่ามันคงสนุกมากๆที่ได้จับโน่นนี่มาผสมผสานกัน โดยเฉพาะในเพลง what is right
เพราะดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆเมื่อถึงท่อนที่เสียงในเพลงเปลี่ยนไปนะค่ะ

GD: ทุกคนต่างก็ให้อารมณ์ที่ต่างกันไปในเสียงของแต่ละคนใช่ไม๊ครับ??
อย่างเสียงของแทยังจะให้อารมณ์แบบ R and B จะบางๆและอ่อนโยน ในขณะที่เสียงของแดซองจะมีเอกลักษณ์ในเสียงแบบชาวเกาหลีมากเลยฮะ เสียงของซึงรีจะเป็นแนวอ้อนๆ ในขณะที่ท็อปจะมีเสียงที่ห้าวๆแหบๆแบบผู้ชาย เสียงของผมจะแหลม เหมือนกับเวลาที่ผมพูดแหละครับ ดังนั้นผมสนุกมากจริงๆเวลาทำงาน เพราะเราต่างก็แตกต่างกันไป มันสนุกตรงที่ได้เอาเสียงทั้งหมดมารวมกัน และทุกคนต่างก็ให้สมดุลในเพลงที่แตกต่างวิธีกันไปเลยทำให้มันไม่น่าเบื่อ ในแต่ละเพลงมีความยาวประมาณ 3 นาทีแต่ผมรู้สึกเลยว่ามันผ่านไปเร็วมาก


Q: ที่อัลบั้มนี้ออกมาช้าเป็นเพราะพวกคุณกำลังทดลองทำอะไรที่หลากหลายออกมาไม๊ค่ะ??
T.O.P: เราใช้เวลาที่ญี่ปุ่นและทำงานในส่วนของงานเดี่ยวกันจนไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี3 เดือนแล้ว และมันก็ไม่เหมือนกับว่าเราได้ไปพักนะครับ แต่เรากลับรู้สึกกดดันมากๆๆในการคัมแบคครั้งนี้
ซึ่งเราต้องเจอกับความคาดหวังของผู้คน ดังนั้นเราจึงระมัดระวังในการทำงาน ในอัลบั้มนี้
และคิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะทำออกมาว่าจะต้องนำเสนอเพลงที่ดีขึ้นให้กับผู้คนครับ

GD: ก็เหมือนกับที่ในหมู่แฟนๆพูดคุยกันนะครับ คือ เราไม่ได้ออกงานเป็นทางการตลอดสองปีกับสามเดือนนี้ และมีการพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับเราออกมา รวมถึงเรื่องที่ว่าเราไม่ลงรอยกันในวง
แต่เราก็เข้าใจนะครับ ว่าถ้าสลับกัน เราเป็นคนภายนอกก็อาจจะเข้าใจไปในทางนั้น
เพราะเราไม่ได้ออกงานในฐานะ เป็นวงบิกแบงเลย แม้ว่าเราจะพูดว่าเราสบายๆกับคำที่คนพูดกัน แต่ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดนั้นก็สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ได้ยินคนเค้าพูดแบบนั้น เราอยากให้แฟนๆๆ แสดงออกถึงแรงสนับสนุนพวกเราให้มากกว่านี้ เพราะพวกเรากำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อเตรียมการทำอัลบั้มออกมาให้ดีที่สุดเพื่อทุกคน มันเหมือนกับ ความผิดหวังมั้งครับ?? เพราะเราต่างทำงานกันอย่างหนัก เพื่อที่จะได้ออกไปพบกับแฟนๆให้เร็วที่สุดที่เราจะทำได้ แต่เรากลับต้องมาเจ็บปวดกับการที่ต้องมาฟังเรื่องแบบนั้น ดังนั้นผมจะทำให้บรรยากาศมันกลับไปอยู่ที่เดิมที่มันเคยเป็นหลังจากที่เราออกอัลบั้มใหม่ชุดนี้ออกมาครับ




Q: พูดถึงเรื่องของแฟนเพลง ฉันจำได้ว่าพวกคุณเคยพูดในรายการBigbang TV ทางช่องเคเบิล Mnet ว่า พวกคุณไม่ต้องการที่จะเป็นนักดนตรีที่ติดกับอยู่แต่ในโลกของแฟนๆใช่ไม๊ค่ะ

T.O.P: นั่นเป็นเพราะว่าเราต้องการที่จะแสดงออกให้เห็นว่าเราโตขึ้นมากแค่ไหน
เราเชื่อว่าเราควรจะแสดงออกถึงความเป็นตัวเองออกมาเพื่อที่จะขยายขอบเขตของเราซึ่งมันไม่มีคำว่ามากเกินไป แทนที่เราจะทำในสิ่งที่ วงอื่นๆทำออกมาแล้วอะครับ

Taeyang: ผมคิดว่ามันอันตรายนะครับที่เราจะปล่อยตัวเองให้อยู่แต่ในรูปแบบที่แฟนๆอยากให้เราเป็น
แล้วโลกของแฟนๆก็จะเข้ามามีส่วนมากขึ้น เราจะเริ่มคิดและเอนเอียงไปว่าเราควรจะทำแบบนั้น
ทั้งๆที่สิ่งที่เราต้องการมันจะตรงกันข้ามก็ตาม และตรงนี้ ข้อจำกัดในเพลงมันก็จะก่อตัวขึ้น
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่า เราจะสามารถแสดงออกถึงพัฒนาการของเราได้อย่างเต็มที่
โดยการทำในสิ่งที่เราต้องการแทนที่จะเอาใจใส่มากไปกับโลกของแฟนๆ ครับ

T.O.P: มันไม่ใช่ว่า เรามีเป้าหมายยิ่งใหญ่ตั้งไว้ในใจหรือว่าเรามีเป้าหมายชัดเจนที่เราอยากจะมุ่งไปหรอกนะครับ แต่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราสามารถจะหลงไปติดกับได้ง่ายๆกับสถานะที่ว่าเราเป็นวงไอดอลของประเทศเกาหลี ซึ่งผมจึงหวังว่า เราจะกลายเป็นวงที่สามารถแสดงออกในหลายๆด้านโดยที่ไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขต เราสามารถทำเพลงที่ผู้คนต้องการฟังจริงๆแม้ว่าเราจะเป็นวงไอดอล ก็ตาม
และสามารถแก้ความไม่พึงพอใจหรือสามารถที่จะเป็นตัวแทนของความพอใจได้ด้วยการฟังเพลงของเรา


Q: ฉันคิดว่าการที่จะเป็นตัวแทนของความพึงพอใจหรือแก้ไขเรื่องไม่น่าพึงพอใจ
สามารถแก้ได้ด้วยทัศนคติที่มีอยู่ในวงของพวกคุณมากกว่าจะ ใช้เสียงเพลงอย่างเดียวนะค่ะ??

T.O.P: ผมคิดว่าเราคือ ความเป็น อิสระครับ ไม่ใช้อิสระแบบหลอกๆๆแบบแกล้งทำแต่เฉพาะเรื่องภายนอกนะครับ เราเลยเครียดเวลาที่ถูกจำกัดในเรื่องอะไรก็ตาม
GD: และผมคิดว่า นี่แหละฮะที่บ่งบอกความเป็นวงของเรา มันกลายเป็นสิ่งที่บิกแบงทำ สิ่งที่เราแสดงออก คือเพลงของพวกเรา เราอาจจะต้องจบลงที่การเป็นวงไอดอลที่เหมือนกับวงไอดอลอื่นๆ
ถ้าเราถูกจำกัดอยู่ในโลกของแฟนๆหรือหลงในสิ่งอื่นๆมากไป แต่เราต้องการที่จะไปหาในสิ่งที่แตกต่าง เราเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดเป็นเรื่องที่ ถูกต้องแล้ว และความคิดเห็นของผมจะต้องมาก่อน ดังนั้นเราเลยพยายามในเรื่องของเสียงเพลงอย่างมาก ผมคิดว่ามันก็ได้ผลในเรื่องของแฟนๆด้วยนะครับ และเราสามารถมอบด้านที่ดีๆของเราให้กับแฟนๆด้วย


Q: ด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ของพวกคุณ ฉันคิดว่ามันเลยมีบางเรื่องที่สังคมก็อนุญาติให้คุณทำได้ เช่น การที่ร้องเพลง ดีดกีตาร์ในเพลง tonightและโยนมันทิ้ง ดูเหมือนกับว่าจะเป็นการแสร้งทำ แต่พวกคุณทำได้และเป็นที่ยอมรับเพราะพวกคุณคือ บิกแบง
GD: ผมคิดว่าเรื่องนั้นเป็นปัญหาในเรื่องความมั่นใจนะครับ และเรารู้สึกว่าเรามั่นใจเพราะคิดว่าสิ่งที่เราทำลงไปมันใช้ได้ เราถึงจะทำมันลงไป ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะต้องแน่ใจว่าสิ่งที่จะทำลงไปมันไม่ดูมากเกินไปและและดูไม่แปลกในสายตาคนอื่น แน่นอนว่า จริงๆแล้วเราก็อายเหมือนกันนะครับ เพราะเราไม่ได้มายืนเล่นกีตาร์กันจริงๆ แต่ถ้าเรามัวไปคิดว่าเราอาย มันก็จะแสดงออกมาให้คนดูเห็นว่าเราอายนะครับ


Q: ในฐานะที่เป็นวงดนตรีที่ทำงานเพลงตามความต้องการ คุณคงมีความคิดเห็นมากมาย
ต่อเรื่องที่วงไอดอลอย่าง TVQX หรือ SS501 มีการแยกวงและเดินไปตามทางของตัวเองนะค่ะ

GD: แน่นอนครับเพราะพวกเค้าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องของเราในวงการนี้  แต่เหตุผลที่ทำให้เราไม่เหมือนพวกเค้าเนื่องจากว่า เราแก้ปัญหาเรื่องความแตกต่างในเรื่องดนตรีของพวกเราแต่ละคนในวงด้วยการแยกย้ายกันไปทำงานเดี่ยว และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเราทะเลาะกันน้อยและเห็นไม่ตรงกันน้อย เมื่อเรากลับมาทำงานในฐานะบิกแบงเมื่อเทียบกับวงอื่นๆ ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาที่ว่าพวกเค้าจะแก้ปัญหายังไงมากกว่าเมื่อมีปัญหานี้เกิดขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเค้าจะมองไปไกลๆๆและขยายมุมมองให้กว้างขึ้นครับ

Q: คุณหมายความถึงอะไรค่ะที่บอกว่าให้มองไปไกลๆ??
G-Dragon (GD): ผมคิดว่าเราต้องจัดการกับความโลภของตัวเองครับ เรารวมตัวกันเป็นบิกแบงมากว่า 6 ปีแล้วในตอนนี้ แต่เราก็ยังคงต้องพยายามกำจัดความไม่น่าพอใจในระบบที่เรามีออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เมื่อเราต้องทำกิจกรรม แม้ว่าเมื่อมีความไม่พอใจเกิดขึ้นเราก็จะต้องพยายามปล่อยมันไปผ่านวิธีการอื่นๆ ผมเลยอยากให้เราเป็นตัวอย่าง เมื่อมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นครับ
T.O.P: ผมคิดว่าการเปลี่ยนมุมมองของคนอื่นๆๆคือสิ่งที่เราควรจะทำในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ของศิลปินคนอื่นๆ และเราควรที่จะต้องมีศรัทธาในตัวแฟนๆของเรา ในส่วนของผู้คนก็ด้วยควรจะต้องมีศรัทธาในตัวศิลปินที่พวกเค้าชอบด้วย
GD: สิ่งที่ผมไม่ชอบเลย ในฐานะที่ผมเป็นศิลปินคนนึงก็คือ เรื่องของเงินกลายเป็นประเด็นเดียวที่ถูกยกมาถกเถียงกันเมื่อมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในสังคมเกาหลี ผมมั่นใจว่ามันมีปัญหามากมายเกิดขึ้นด้วยอย่าง ปัญหาระหว่างสมาชิกในวงหรือ ความแตกต่างในเรื่องของความคิดเห็นในเรื่องของดนตรี จนผลักดันให้พวกเค้าไปสู่จุดที่แตกหัก ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าละอายเมื่อมีปัญหาแบบนั้นกับวงไอดอลขึ้นคนก็จะมองว่ามันเป็นเรื่องของเงิน และผู้คนก็จะมองเราแบบนั้นซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริง ท็อปเล่าว่าเค้าได้รับคำถามจากนักข่าว ในเรื่องของ Kara และ TVQX ในตอนที่ไปทำงานที่ญี่ปุ่น ผมไม่ชอบความจริงที่ว่า มุมมองแบบนั้นถูกวางเอาไว้ให้กับวงไอดอลจากเกาหลีไปซะแล้วครับ
T.O.P: ชาวต่างขาติสนใจในตัวของศิลปินเกาหลีที่ไปโด่งดังในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นมากขึ้นครับ
เพราะคิดว่ามันมีเรื่องลึกลับซับซ้อนอยู่ ดังนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่นักร้องชาวเกาหลีถูกมองไปในทางนั้น แต่ผมก็คิดว่า งั้นเราควรจะต้องทำงานให้หนักขึ้นอีก


Q: แม้ว่าเรื่องของดาราเกาหลีที่ไปโด่งดังในต่างแดนจะเคลื่อนไหวไปได้โดยมีเรื่องของเงินแฝงอยู่ด้วย แต่วงของพวกคุณดูเป็นวงที่แตกต่างไปนะค่ะ ฉันคิดว่าการที่ MV เพลง tonight ของพวกคุณ มียอดวิวผ่าน youtube ถึงสองล้านวิวและอันดับชาร์ตบน itune แสดงให้เห็นว่า
เพลงของพวกคุณเป็นที่สนใจในหมู่ผู้ฟังด้วยตัวของเสียงเพลงล้วนๆ มากกว่าที่มันจะถูกโปรโมทมากแค่ไหน

T.O.P: ผมไม่คิดว่าการที่เราได้ยอดวิวมากมายบนยูทูปจะมาจาก ความดังของพวกเราครับ
ผมกลับคิดว่า การที่เราทำงานในส่วนของงานเดี่ยวออกมา เช่น อัลบั้มเดี่ยวของแทยัง
หรืองานในยูนิตพิเศษ GDTOP สร้างกระแสความอยากรู้อยากเห็นในดนตรีของเราในหมู่ชาวต่างชาติ
เร็วๆนี้แทยังเพิ่งจะเดินทางไปที่อเมริกา ที่นั่นเค้าได้พบศิลปินมากมาย แทยังเล่าว่าศิลปินเหล่านั้นต่างอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเกาหลีมาก เมื่อก่อน เราเคยคิดไตร่ตรองว่า ชาวเกาหลีจะมองว่างานนี้มันเป็นยังไง เวลาที่เราถ่ายทำ MV ดังนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นอีกเมื่อเราคิดว่าจะมีคนมากมายกว่านั้นมาชม MV นี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ในสถานะเดียวกับศิลปินต่างประเทศเลยทีเดียวครับ

GD: เรารู้สึกภูมิใจครับกับความจริงที่ว่าเราเป็นที่รู้จักจากเสียงเพลงของเราเป็นอย่างแรก
และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราพยายามทำงานให้หนักขึ้นอีก เหตุผลที่ทำให้เราสนุกมากขึ้นในการโปรโมทอัลบั้ม หรือ การทำงานในทุกวันนี้ และเรามีแนวโน้มที่จะทำงานหนักมากขึ้นอีก เป็นเพราะ
เราอยู่ภายใต้การตัดสินใจที่ว่าอัลบั้มนี้สามารถที่จะออกไปสู่ประเทศใดก็ได้ในโลกนี้ครับ


Q: คุณไม่คิดเหรอว่า จะต้องมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นนะ เนื่องจากว่า เพลงของบริษัท วายจี เป็นเพลงในแบบชาวแอฟริกันอเมริกัน คุณควรที่จะทำดนตรีในแบบเกาหลีเพื่อออกไปต่อสู้มากกว่ารึเปล่าค่ะ??
Taeyang: บริษัทของเรา รวมถึงตัวผมเองด้วย มีจุดเริ่มต้นมาจากเพลงในแบบแอฟริกันอเมริกัน
แต่เรา เจาะลึกลงไปในแนวดนตรีแบบนั้น และนำเอามาผสมผสานรวมกับเพลงในแบบเกาหลีด้วย
ซึ่งผมคิดว่าเพลงแบบนี้คงเป็นอะไรที่แปลกใหม่ในต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ เราอาจจะรีบที่จะไล่ตามเพลงของต่างประเทศ แต่ผมพูดได้ว่าตอนนี้เราอยู่ในกระบวนการที่จะริเริ่มสร้างพื้นฐานที่มั่นคงด้วยตัวของเราเองครับ


Q: ก็จริงนะค่ะที่กระบวนการแบบนี้เป็นการที่คุณนำไปปรับใช้เมื่อออกอัลบั้มในฐานะบิกแบง
แต่อัลบั้มเดี่ยวของคุณนั้น แน่นอนว่าก็เป็นที่น่าสังเกตมาก โดยเฉพาะ ตัวอัลบั้มได้แสดงออกถึงแนวดนตรีที่หลากหลาย คุณจัดการกับงานในนามของบิกแบงและงานเดี่ยวของตัวเองในเวลาเดียวกันได้ยังไงค่ะ??

Taeyang: บางทีมันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้เลยเนอะครับ แต่เราคิดว่ามันจะเป็นผลดีต่อวงของเราและต่อสมาชิกในวงแต่ละคนด้วย เรารู้ว่ามีคนมากมายต้องการ บิกแบง แต่ว่ามันมีการแสดงที่แตกต่างไป
หรือแนวดนตรีที่แตกต่างไปที่เราต้องการอยากจะแสดงออกมาหรือเราต้องการจะทำด้วย เหมือนกัน
ผมคิดว่าการที่เราแสดงออกในเรื่องของเสียงเพลงไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เรามีเวลา หรือเมื่อไหร่ที่พร้อม ยังไงๆๆก็เป็นเรื่องที่ดีครับ

GD: สิ่งที่ผมมักจะอิจฉา ตลาดเพลงในต่างประเทศ เสมอก็คือ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ศิลปินที่โด่งดังมากๆออกอัลบั้มใหม่หลังจากที่เค้าหายไปนาน หรือเมื่อไหร่ที่เค้า โพสเพลงที่เค้าร่วมทำกับเพื่อนๆออกมา มันล้วนแต่เป็นเพลงที่เป็นเพลงอย่างแท้จริง แต่ในบ้านเราไม่ได้เป็นแบบนั้น วงดนตรีแบบเราจำเป็นต้องโปรโมทครั้งใหญ่อย่างน้อยก็ 1 ครั้งต่อปี ผมหวังไว้อยากจะให้แฟนๆได้ยินเพลงมากขึ้น ในแบบที่ง่ายๆสบายๆๆ
เช่น บางทีผมอาจจะแต่งเพลงได้ในวันนี้ ผมก็จะอัดเสียงและอาจจะโพสมันให้แฟนๆฟังวันรุ่งขึ้น อะไรแบบนั้นครับ

Taeyang: มันก็เหมือนกับแนวทางการทำเพลงรวมฮิต แหละครับ ผมชอบแนวทางที่ว่าเราสามารถที่จะบันทึกเสียงสิ่งที่เราอยากจะทำในวันนั้นๆออกมา และผมหวังว่าวงการเพลงเกาหลีจะก้าวไปไกลไปถึงจุดที่ว่าเรา มีความสุขในการฟังเพลงแบบนั้น และแลกเปลี่ยนแบ่งปันให้กันและกันฟัง
ผมคิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับวงไอดอลที่มีแนวทางที่ชัดเจนจะทำดนตรีออกมาในแนวทางนั้นครับ

GD: ท่ามกลางระบบในปัจจุบันของเกาหลี ขนาดเพลงที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำออกมาเพื่อจุดประสงค์ในทางธุรกิจก็มีจุดจบ ที่ยังไงๆก็จะต้องกลายเป็นเพลงที่นำออกมาขายได้อยู่ดี เหมือนกันกับเพลงที่เราทำขึ้นมาโดยไม่มีจุดประสงค์อะไรที่เป็นพิเศษก็จะกลายเป็นเพลงที่ขายได้ถ้ามีการโปรโมทหนักๆ
ผู้คนต้องการที่จะฟังเพลง หลากหลายแนวตามอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องสนุกที่พวกเค้าจะได้มีตัวเลือกในการฟังเพลง ถ้าเราทำเพลงและอัพเพลงซึ่งเพลงเหล่านั้นแสดงออกถึงอารมณ์ที่เรารู้สึกจริงๆในเวลานั้นออกมา ผมไม่ชอบวิธีที่ว่าเราต้องรอนานมากกว่าจะมีอัลบั้มนึงออกมา
พอออกมาแล้วเราก็ต้องฟังเพลงที่บรรจุอยู่นอัลบั้มซ้ำไปซ้ำมา และก็เบื่อหลังจากที่ฟังวนๆๆอยู่แบบนั้น
จากนั้นก็รอไปอีก จนกว่าอัลบั้มใหม่จะออกมา ผมก็รู้สึกแย่แทนแฟนๆเหมือนกันนะครับ
ดังนั้นเราจึงเตรียม การที่จะใช้บล็อคหรือหนทางอื่นๆ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเริ่มปีนี้แหละฮะ
ผมมั่นใจว่ามันจะยังมีความเปลี่ยนแปลงมากมายรออยู่ ถ้าพวกคุณอดใจรอเราอีกซักหน่อยนะครับ




Q: ดูเหมือนว่าพวกคุณต้องการที่จะนำเสนอ ทัศนคติใหม่ๆๆให้กับอุตสาหกรรมเพลง
ไม่ใช่แค่สร้างวัฒนธรมไอดอลขึ้นมาเท่านั้นนะค่ะ

T.O.P: มันน่าเสียดายนะครับที่ผู้คนประเมินค่าศิลปินและเป็นเดือดเป็นร้อน
กับเรื่องที่ว่าเพลงจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่บนชาร์ตเพลง การที่พวกเค้ารู้สึกว่าสามารถเอาชนะใครคนนึงได้ โดยคำนึงแต่เรื่องของชาร์ตเพลง แบบนั้น ผมไม่คิดว่าเราจะเอาเรื่องนี้มาใส่ใจอีกต่อไปเลยละครับ


Q: นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เพลงtonight ที่ถูกตั้งให้เป็นเพลงโปรโมท แต่กลับไม่ค่อยมีการโฆษณาเท่าไหร่?? แล้ว ตอนที่ เสียงแร๊พของท็อปขึ้นสู่จุดสูงสุดพร้อมกับจังหวะในช่วงเริ่มแรกของเพลง แทยังกลับมาร้องท่อนต่อไป คนเดียวเดี่ยวๆแทนที่พวกคุณจพร้อมกันะร่วมร้อง รึเปล่าค่ะ??
GD: มันเคยเป็นสไตล์ในแบบบิกแบงครับ อารมณ์จะค่อยๆถูกสร้างขึ้นในท่อนร้องและจะถูกดันสู่จุดสูงสุดหลังจากนั้น มันเป็นสไตล์ของผม แต่ในครั้งนี้ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงแบบแผนของตัวเองในคราวนี้ เพราะผมไม่อยากจะให้มันเห็นได้ชัดขนาดนั้น ครั้งนี้แทนที่จะร้องท่อนคอรัสร่วมกัน ผมคิดว่า อารมณ์ที่เราต้องการจะส่งไปจะสามารถขึ้นสู่จุดของมันได้ ถ้าแทยังสามารถที่จะร้องคนเดียวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวอร์ชั่นที่เราเอามาบรรจุในอัลบั้มเป็นเวอร์ชั่นที่แทยังร้องตอนที่ป่วยที่สุด
จริงๆมีเวอร์ชั่นที่ดีกว่านี้นะครับ แต่เราตัดสินใจที่จะเอาเวอร์ชั่นนี้แหละ

Taeyang: ผมร้องออกมาแล้วฟังดูดีมากครับในเวอร์ชั่นนั้นที่ผมร้องได้ตามปกติ
ผมถามเค้าว่าทำไมเค้าถึงเลือกเอาเวอร์ชั่นที่ผมร้องตอนป่วยมาใช้แทน
ซึ่งจียงบอกว่าผมทำได้ดีกว่าในการส่งความรู้สึก ในเวอร์ชั่นที่ร้องตอนป่วย

GD: จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล้กน้อยมากๆแต่มันก็ยังสร้างความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
และความแตกต่างเล็กๆตรงนี้ทำให้เพลง Tonight ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพลงที่ ให้กำลังใจได้
ด้วยตัวเพลงที่ต้องฟังแล้วเป็นเพลงสนุกๆแต่ต้องให้อารมณ์ที่เศร้าที่สุดออกมา
ดังนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่เราทำออกมาจะทำออกมาได้ดีทีเดียว ผมคิดว่าด้วยจังหวะที่เร็วๆ แต่มันกลับให้อารมณ์ เศร้า คลุมเครือ และสิ้นหวัง เหมาะกับบิกแบงอย่างมาก ผมคิดว่ามันเป็นอารมณ์ที่ดีที่สุดที่จะสามารถถ่ายทอดออกไปได้ในขณะนี้ครับ


Q: ฉันคิดว่า ลำพังแค่เทคนิคอย่างเดียวคงไม่สามารถที่จะส่งอารมณ์ออกมาในเพลงได้ถึงขนาดนั้นนะค่ะ??
GD: ครับ ไม่ใช่เรื่องของเทคนิคครับ ผมคิดว่าการที่ทุกคนออกไปทำงานเดี่ยวนั้นช่วยได้มากจริงๆ
ผมกำกับแต่ละคนทุกคนในวงและพบว่าพวกเค้าได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้น มันง่ายที่จะจับความรู้สึกของพวกเค้า เสียงของพวกเราเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และตอนนี้เราก้ไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว

Taeyang: ยิ่งผ่านเวลาและกับทุกปีที่เราโตขึ้น เราเรียนรู้ที่จะมีอารมณ์ต่างๆมากขึ้นและสามารถที่จะอธิบายมันออกมาได้ดีขึ้นด้วยครับ



Q: งั้นอัลบั้มนี้จะเป็นเหมือนการแจ้งให้กับสาธารณชนรู้ถึงสไตล์เพลงที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วของบิกแบงใช่ไม๊ค่ะ??
GD: มันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกครับ ผมหวังว่ามันจะสามารถเห็นได้ว่านี่จะเป็นเส้นทางที่เราเดินทางจากวงไอดอลมาสู่การเป็นนักดนตรีเต็มตัว ในตอนนี้ผมว่าเราอยู่ในช่วงที่ไม่ใช่ไอดอลและก็ยังไม่ได้เป็นนักดนตรีจริงๆ ในตอนนี้เรารู้สึกแย่ด้วยครับถ้าใครมาเรียกเราว่าวงไอดอล (หัวเราะ)
T.O.P: มันยังมีอะไรอีกมากเลยครับที่เราต้องการที่จะแสดงออกให้ทุกคนเห็น
GD: หลังจากที่โปรโมทมินิอัลบั้มนี้แล้ว เราจะมีทัวร์คอนเสริต์ที่ญี่ปุ่นครับ
และเราก็จะออกอัลบั้มอีกอัลบั้มนึงเมื่อเรากลับมา ผมคิดว่ามันจะเป็นอัลบั้มเต็มนะครับเป็นอัลบั้มที่เราได้ทำงานกับนักแต่งเพลงจากนอกบริษัทวายจี ด้วย ดังนั้นผมคิดว่ามันคงให้อารมณ์ที่แตกต่างไปด้วยครับ


Q: สุดท้ายแล้ว ฉันสงสัยอยากจะรู้ว่า วงบิกแบง มีความหมายอะไรสำหรับพวกคุณ
ท่ามกลางงานที่เกี่ยวข้องกับดนตรีที่พวกคุณต่างก็เข้าไปเกี่ยวข้องในทุกวันนี้
แทยังค่ะ คุณเคยพูดไว้ใน Bigbang TV ว่าคุณต้องการที่จะใช้ชีวิตของคุณในฐานะคนที่ทำงานเพลง แต่นั่นมันหมายความว่าคุณตั้งใจจะเป็นศิลปินเดี่ยวและมารวมตัวเป็นบิกแบงเมื่อจำเป็นต้องทำรึเปล่า?? หรือ เส้นทางนั้นก็ถือว่าเป็นส่วนนึงของการเป็นบิกแบงด้วยค่ะ??

Taeyang: ผมเชื่อว่าผมสามารถทำได้ทำสองอย่างครับ ผมคิดว่าทั้งสองเส้นทางนี้ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน และมุ่งตรงไปยังเป้าหมายเดียวกัน เราอาจจะชอบแนวดนตรีที่แตกต่างกันไป หรือมีรสนิยมที่แตกต่างกัน แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วเราต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน และนั่นทำให้เราเดินไปยังทิศทางเดียวกัน เราไม่ได้แยกย้ายกันต่างคนต่างไปและกลับมารวมกันเพราะจำเป็น แต่เราออกอัลบั้มเดี่ยวในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงของเรา ซึ่งผมรู้สึกว่ามันสร้างอิทธิพลที่ดีต่อทีมเมื่อเรากลับมารวมตัวกันนะครับ
GD: ผมหวังให้ผู้คนคิดแบบนั้นเหมือนกัน และอยากให้พวกเค้าคิดว่า บิกแบงเป็นวงดนตรี ที่เมื่อเป็นเรื่องของเสียงเพลงแล้ว บิกแบงเป็นวงที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ตั้งมั่นไว้ในใจครับ



Source: 10Asiae via Team Bigbang
Thai Translation by undercover @ VIPP @ Choitopthailand

0 comments:

แสดงความคิดเห็น