Flag Counter

free counters

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ TOP จากนิตยสาร AERA Japan




AERA: ในตอนนี้เป็นเวลาตามกำหนดการที่เรานัด ท็อปเอาไว้แต่เค้าก็ยังมาไม่ถึงเลย
จากนั้นผมก็ได้ยินมาว่าเค้าไม่สบายในวันนี้ แต่เค้าก็พยายามผลักดันตัวเองให้ทำงานตามที่มีนัดสัมภาษณ์ในตารางงานทั้งหมด
และในที่สุดเค้าก็มาถึง เพียงเท่านี้ผมก็รู้สึกโล่งอก
ท็อปเริ่มด้วยการเปิดดูนิตยสาร AERA จนทั่วจากนั้นจู่ๆเค้าก็พูดขึ้นมาว่า "ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้านะครับ"
ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่เค้าสวมมานั้นไม่เหมาะกับภาพรวมของนิตยสาร
ผมจึงนั่งคอยเค้าซักสองสามนาที จากนั้นเค้าก็กลับมาด้วยการสวมแจ็คเก็ตลงไปมันดูดีจนน่าตะลึง
รองเท้าที่เค้าสวมดูน่าสนใจมากเพราะมันเหมือนกันมีใครนำตะปูไปตอกเอาไว้
พอผมถามถึงยี่ห้อของรองเท้าเค้าตอบมาว่าจาก Louboutin
รองเท้าจาก Christian Louboutin ที่เฉิดฉายอยู่ในภาพยนตร์จอยักษ์ที่ทำเงิน อย่างเรื่อง Sex and the City
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นผู้ชายสวมรองเท้า จาก Louboutin.

T.O.P: ครับ รองเท้านี้เป็นของผมเองครับ ผมเลือกรองเท้าคู่นี้เพราะเหมาะกับชุดครับ ผมชอบแฟชั่น

AERA: จริงๆแล้วตอนที่เค้ารับบทเป็นนักฆ่าเลือดเย็นในละคร IRIS เค้าก็ใส่ใจในเรื่องของแฟชั่นอย่างมาก
ท็อปกล่าวว่าเค้าเป็นคนเสนอและร่วมปรึกษาหารือกับสไตลิสต์ในเรื่องของเสื้อผ้าให้กับตัวละครตัวนี้
สูทสีดำและเสื้อโค้ทแบบยาวที่เค้าสวมในเรื่อง ทำให้เค้าดูเหมือนเป็นนายแบบมากกว่ามือสังหาร
และด้วยการที่เค้าดัดผมให้งอเพียงเล็กน้อย และเปลี่ยนทรงผมบ่อยมากในเรื่อง
แน่นอนว่าเค้าถูกเรียกว่าเหมือนนายแบบมากกว่ามือปืน ท็อปกล่าวว่า
" ผมต้องการที่จะสร้างภาพของมือสังหารที่ทุกคนสามารถจินตนาการได้ออกมา "




ภาพยนตร์เรื่อง Into The Fire ภาพยนตร์ที่เค้ารับบทนำเป็นครั้งแรก
เริ่มต้นเรื่องด้วยคำพูดที่สะทือนใจอย่าง " แม่ครับ ผมฆ่าคนตาย"
ภาพยนตร์แอคชั่นฟอร์มยักษ์เรื่องนี้สร้างมาจาก จดหมายที่นักเรียนทหารชั้น ม.4 ที่เขียนส่งถึงคุณแม่ของเค้า
ท็อปรับบทเป็นผู้นำกลุ่มนักเรียนทหาร จางบอม

T.O.P: ก่อนที่ผมจะได้รับบทในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะเข้าไปคัดตัวในภาพยนตร์สงคราม
แต่ยังไงก็ตามภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เหมือนกับภาพยนตร์สงครามเรื่องอื่นๆที่ผมเคยดูมาก่อนครับ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรู้สึกและมนุษยธรรม มันเป็นเรื่องราวของนักเรียนทหาร 71 นาย
ที่ต้องต่อสู้กับทหารชั้นนำของทางฝั่งเกาหลีเหนือครับ

ด้วยกิจกรรมต่างๆเกี่ยวกับเสียงเพลง ผมต้องการที่จะแสดงให้โลกเห็นถึง ความรู้สึกอะไรบางอย่าง
ซึ่งผมคิดว่าผมสามารถที่จะบรรยายออกมาผ่านการรับบทเป็น จางบอม
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมเข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้
ผมเชื่อว่า คนหนุ่มสาวชาวเกาหลีที่กำลัง ดื้นรนต่อสู้ ค้นหาความฝัน อาจจะได้พบฝันนั้นในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้
นอกจากนี้ผมคิดว่าการที่มีผมเข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะทำให้คนหนุ่มสาวมากมายมาเข้าชม
และสนใจในเรื่องสงครามมากขึ้นครับ


AERA: นอกจากความกดดันในการรับบทนำแล้ว เค้ายังรู้สึกถึง ความรับผิดชอบ อีกด้วย



T.O.P: ผมเริ่มงานในฐานะนักแสดงในปี 2007 ในละครเรื่อง I am Sam
ครั้งนี้ผมจึงต้องทำให้ผู้คนเห็นว่าผมมีพัฒนาการใน 3 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบในจุดนี้ครับ

แต่แน่นอนว่าผมต้องรู้สึกกดดันมาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสงครามเกาหลี
ดังนั้น ชาวเกาหลีต้องรู้สึกเจ็บปวด ผมรู้สึกกดดันในการที่จะแสดงออกความรู้สึกต่างๆลงไปในภาพยนตร์
ไม่ใช่ว่ามันเป็นภาพยนตร์ผมถึงรู้สึกดดันนะครับ ในการถ่ายทำละครผมก็รู้สึกกดดันเช่นกัน
ในการถ่ายภาพยนตร์ มันจะเสร็จออกมาก็ต่อเมื่อได้ใส่เสียงใส่ภาพและทุกอย่างครบองค์ประกอบแล้วจึงเสร็จสมบูรณ์ออกมา
แต่กับละคร เราถ่ายไปเรื่อยๆๆๆในขณะที่บางส่วนก็ออนแอร์ไปด้วย
ดังนั้นผมคิดว่าหากจะแสดงออกด้านที่พัฒนาแล้วเมื่อเวลาผ่านไปถึง 3 ปีนี้ ก็ควรจะเริ่มที่งานภาพยนตร์
ผมคิดว่าภาพยนตร์จะทำให้แฟนๆและผู้ชมรู้สึกตกใจได้ ซึ่งทุกอย่างนี้เลยเป็นเรื่องใหม่ที่ท้าทายสำหรับผมครับ



AERA: ตอนนี้ท็อปอายุ 23 ปีแล้ว เค้ากล่าวว่าการที่เค้าต้องรับบทเป็นนักเรียนทหารในวัย 17 ปีนั้น
เค้าต้องย้อนกลับไปคิดว่าในตอนที่เค้าอายุ 17 นั้นเค้าคิดอะไร
และกลับไปศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มนักเรียนทหารในช่วงสงครามเกาหลีด้วย

T.O.P: บทของโอจางบอมนั้นเริ่มเมื่อตอนเค้าอายุ 17 ปีซึ่งผมนำเอาภาพของผมตอนอายุ 17 มาสานเข้าด้วยกัน
มีฉากนึงเป็นช่วงระหว่างสงคราม โอจางบอมก้มหน้าลงเผชิญหน้ากับโต๊ะและเขียนจดหมายถึงคุณแม่
เมื่อผมเห็นฉากนี้ผมเห็นตัวเองตอนอายุ 17 เพียงแต่อยู่ในร่างของจางบอม
เพราะเมื่อตอนผมอายุ 17 ผมก็จะนั่งแบบนี้เขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเป็นเนื้อเพลง
จางบอมเขียนเหตุการณ์ที่น่าเศร้า แต่ผมกำลังมีความสุขในการเขียนเนื้อเพลง
ดูแล้วมันไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่มันช่างเป็นโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผมคิดถึงเรื่องประมาณนี้แหละครับเวลารับบทเป็นโอจางบอม


AERA: มันเป็นความรู้สึกที่ตึงเครียดมากเมื่อได้ดูฉากที่
จางบอมต้องถือกล่องที่บรรจุกระสุนสองกล่องวิ่งอย่างสิ้นหวังฝ่าการระเบิด
เหมือนกับลูกหมาที่ตัวเปียกโชกท่ามกลางสายฝน สายตาของโอจางบอมนั้นเต็มไปด้วยความกลัว
ท็อปเล่าวว่าฉากนั้นเป็นฉากที่ยากที่สุดแต่มันก็เป็นฉากที่เหมือนเป็นรางวัลให้เค้าด้วย

T.O.P: ผู้กำกับ Lee Jae Han ให้ความสำคัญอย่างมากกับความสมจริงในภาพยนตร์ครับ
และเพราะเหตุผลนี้ ในตอนที่ผมถ่ายทำฉากนั้น ผมต้องวิ่งไปโดยที่ไม่มีใครบอกเลยว่าระเบิดถูกฝังอยู่ตรงไหนบ้าง
มันเป็นฉากที่อันตรายมาก ถ้าผมทำพลาดไปในครั้งนั้น จะต้องใช้เวลานานมากในการเซตฉากนั้นขึ้นมาใหม่
มันเหมือนกับว่าเราอยู่ในสนามรบจริงๆและผมก็ตกใจมากกับความเครียดและความกลัวที่มีอยู่รอบตัว
มีฉากนึงที่มีผมล้มลงและมีการระเบิดของรถจี๊ปอยู่ใกล้ๆผมในตอนนั้นผมคิดว่าแก้วหูของผมจะระเบิดอยู่แล้วเพราะเสียงต่างๆๆ
ในตอนนั้นผมอยากที่จะวิ่งหนีออกไปจากฉากนี้จริงๆ ยังไงก็ตามตอนที่ผมเห็นฉากนี้ในภาพยนตร์
ตรงนั้นเป็นโอจางบอมที่อยู่ในภาพยนตร์ไม่ใช่ผม และผมรู้สึกภูมิในใจตัวเองมากครับ


AERA: ทักษะในการแสดงของเค้าได้รับคำชมมากมายและในเดือนพฤศจิกายนในปีที่ผ่านมา
เค้าได้รับรางวัล นักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาหลี
แต่ยังไงก็ตามดูเค้าจะยังสบายๆๆกับมัน เค้ากล่าวว่า
"ผมต้องการให้ดนตรีเป็นอาชีพหลักของผม แต่ผมก็อยากที่จะแสดงเหมือนกัน
จากนี้ไปผมจะแบ่ง งานด้านดนตรีและการแสดงออกเป็น 5:5 แล้วกัน"


T.O.P: ผมเริ่มที่จะแต่งเพลงตั้งแต่อายุได้ 11-12 ปี ซึ่งมันอาจจะเป็นได้ที่ผมค่อนข้างพอใจกับงานดนตรีของตัวเองแล้ว
ซึ่งการแสดงนั้นยังเป็นงานในสาขาใหม่ที่มันยังใหม่สำหรับผมและผมยังคงขาดอะไรหลายๆอย่าง
เพื่อที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบ ผมคงต้องแสดงต่อเนื่องไปเรื่อยๆๆ
หากผมเริ่มทำอะไรแล้ว ผมมักจะแสวงหาความสมบูรณ์แบบจากงานในสาขานั้น
ผมมีความกระหายอยากที่จะทำให้การแสดงของผมสมบูรณ์แบบ และนั่นทำให้ผมต้องพยายามแสดงต่อไปครับ


Magazine Scanned by: verdad @ DCTOP
Translated by: Nanz @ 21bangs.com
Thai Translation by undercover @ VIPP @ Choitopthailand


0 comments:

แสดงความคิดเห็น