Flag Counter

free counters

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ Bigbang จากนิตยสาร With Japan ( TOP's Part)

ท็อปเกิดวันที่ 4 พฤศจิกายนปี 1987 กรุ๊ปเลือด B เค้ารับหน้าที่แร๊พในวง เค้ามีน้ำเสียงที่นุ่มลึกและเก่งในการเขียนเนื้อร้องและการทำ beat box เค้าเริ่มอาชีพในด้านการแสดงในปี 2007 ในละครเรื่อง ไอริช ซึ่งตอนนี้ก็ออกฉายที่ญี่ปุ่นด้วย ส่วนภาพยนตร์เรื่อง Into the fire ที่เค้าร่วมแสดงก็คาดว่าจะได้นำมาฉายที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ตัวจริงของเค้าจริงๆเค้าเป็นคนที่ลึกซึ้งมากซึ่งดูจะขัดกับบุคคลิกที่เป็นคน เท่ๆของเค้า นอกจากนี้เค้ายังมีด้านที่ซนๆอยู่ด้วยเหมือนกัน


คำถาม Q&A เกี่ยวกับการออกเดท

Q: คุณจะกลายเป็นคนแบบไหนเมื่อคุณตกหลุมรักใครซักคน ??
ใน อดีต ผมจะกลายเป็นคนที่อุทิศเวลาทั้งหมดของผมให้กับเธอแต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปนิด หน่อย คือผมไม่เก่งในการที่จะสารภาพความรักที่มีออกไปตรงๆ ดังนั้นผมจะสื่อความรักที่ผมมีให้กับเธอโดยการบอกเป็นนัยๆ ครับ


Q: คุณคิดยังไงกับการเหลือช่องว่างระหว่างคุณกับคนที่คุณชอบเอาไว้บ้าง??
ข้อ นี้ขึ้นอยู่กับว่าผมกำลังเดทกับใคร อืม.....ผมจะให้ความรักตอบกลับเธอไปในจำนวนเท่ากับที่เธอให้ผมมาครับ ล้อเล่นฮะ (หัวเราะ) เราทั้งคู่ต่างก็มีอิสระและเราคงต้องทิ้งความห่างระหว่างกันเอาไว้บ้าง นี่คือความสัมพันธ์ในแบบที่ผมต้องการ


Q: คุณคิดยังไงกับการแต่งงานในตอนนี้??
มัน คงไม่สายเกินไปถ้าผมจะแต่งงานตอนอายุ 40 ตั้งแต่เริ่มแรกผมก็ทำงานหนักมาโดยตลอด และด้วยสถานการณ์แบบนี้ ถ้าผมเริ่มจะมีความสัมพันธ์กับใครซักคน ผมก็จะไม่มีเวลาที่จะสนใจเธอเลย ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นตัวเองกลายเป็นคนแบบนั้น



เค้าต้องการที่จะรักษาความบริสุทธิ์และความสวยงามในจิตวิญญาณของเค้าเพื่อ งานเพลงและการแสดง
เทคนิคที่สำคัญที่สุดคือ การถ่ายทอดความคิดของเค้าด้วยการส่งสายตา
ท็อป นั้น ใช้ชีวิตโดยมีโลกส่วนตัวของเค้า เมื่อไหร่ที่เค้าต้องการที่อธิบายตัวตนของตัวเองให้คนอื่นได้รับรู้เค้าจะ เริ่มเขียนกลอนตั้งแต่อายุได้ 11 ปี

" เมื่อผมมองย้อนกลับไป ผมสงสัยว่าอะไรที่เป็นเหตุผลให้ผมกลายเป็นเด็กเกเรในตอนนั้นได้ (หัวเราะ) บางทีความเกเรของผมในตอนนั้นน่าจะเป็นผลสะท้อนที่ได้รับมาจาก เพลงในแบบของคนดำก็เป็นได้ ส่วนในเรื่องของกลอนที่ผมเขียนสมัยเป็นเด็ก ผมต้องการที่จะสื่อโลกในส่วนของผมให้คนอื่นรับรู้ "

ท็อปนั้นกระตือ รือร้นที่จะแบ่งปันความคิดและอารมณ์ของเค้ากับคนอื่นมาจนกระทั่งบัดนี้ และนี่ก็เกิดขึ้นในส่วนของงานเพลงและการแสดงด้วย

"สิ่งที่คุณจำเป็น ต้องมีคือไม่เพียงแต่ส่งข้อความออกไปเท่านั้นเพราะถ้าหากคุณส่งไปและไม่มี ใครสามารถรับข้อความนั้นได้มันก็เปล่าประโยชน์ ผมคิดว่า คำนิยามของคำว่าศิลปะนั้น คือการสื่อความรู้สึกและประสบการณ์ที่คุณเป็นเจ้าของออกมาถ้าทำได้คุณจะ สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ และด้วยเรื่องนี้ การใช้ การสื่อสารทางสายตาจึงเป็นกลยุทธิ์ของผม ไม่ว่าผมจะยืนอยู่หน้ากล้องหรือบนเวที ผมก็มักที่จะต้องการที่จะส่งข้อความของผมไปยังผู้ชมด้วยตาของผมครับ "

ความระเอียดอ่อนและบุคคลิกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของท็อปนั้นเป็นสมบัติตกทอดที่เค้าได้รับมาจากคุณตาของเค้า
" เป็นเพราะผมคงได้ยีนส์มาจากคุณตานะครับผมจึงรัก เรื่องของภาษามากที่สุด และนี่เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าทำไมผมถึงอยากที่จะเป็นแร๊พเปอร์มาก คำพูดของคุณตาที่ได้พูดกับผมก่อนที่ท่านจะจากไป ยังคงมีค่ายิ่งและผมก็ยังคงเก็บมันเอาไว้ลึกๆในใจของผม

เค้าบอกกับ ผมว่าให้ทำใจให้บริสุทธิ์ด้วยการทำสมาธิ คำนี้เหมือนเป็นสุภาษิตของชาวเกาหลี มีความหมายว่า ให้มองตัวเอง และทำให้จิตวิญญาณของคุณให้บริสุทธิ์และงดงาม เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมได้พักผ่อน ผมจะทำจิตใจและสมองของผมให้งดงาม ในเวลานั้นผมจะไม่ออกไปไหนเลยจะอยู่ที่บ้านและจะสร้างเวลาของตัวเองเพื่อที่ จะคิดเกี่ยวกับปัญหาต่างๆและผ่อนคลาย ผมจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องที่เลวร้ายและหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเข้าไปเจอกับ เรื่องร้ายๆที่จะมีอิทธิพลไม่ดีต่อตัวผมเอง

ในการทำงานเพลงหรือการ แสดง การที่จะทำตัวให้บริสุทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ สำหรับในเรื่องที่จะแสดงออกตัวตนของผมออกมาโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ในเรื่องนี้ผมคิดว่าผมคงต้องยังพยายามทำงานอย่างหนักต่อไปในเรื่องนี้
ผม ลืมไปแล้วว่าผมเริ่มที่จะสะสมพวกหุ่นของเล่นและ bear brick เป็นงานอดิเรกตั้งแต่เมื่อไหร่ (หัวเราะ) ผมคิดว่าผมสามารถเก็บเอาความไร้เดียงสาของตัวเองไว้ได้เมื่อผมได้สะสมพวกมัน นะครับ

อีกเหตุผลนึงที่เค้าไม่ชอบจะออกไปข้างนอกเมื่อเค้ามีเวลาว่างคือ
"ผม ไม่อยากใช้พลังงานของผมให้เปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ครับ ผมต้องการจะเก็บแรงพวกนี้เอาไว้ทำงานมากกว่า สำหรับผมพลังงานที่ผมมีไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อพวกคุณทุกคนนะครับ

อะไรที่คุณจะต้องทำเพื่อจะได้ทำความฝันให้สำเร็จในอนาคต ??
เพื่อ อนาคตของผม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "จงมีความลุ่มหลงที่ไม่มีวันหมดตลอดไป" พูดตรงๆนะครับ ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง ทำไมเหรอครับ?? เป็นเพราะผมคิดว่าหากผมตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองและหากผมสามารถทำเป้าหมายที วางไว้สำเร็จผมก็จะ ขี้เกียจ และความรู้สึกที่มันสมบูรณ์ทุกอย่างแล้วมันจะเข้าครอบงำผม ในทางตรงกันข้ามถ้าผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ ผมก็จะยังคงสามารถทำงานด้วยความลุ่มหลงต่อไปได้ และนี่คือเป้าหมายของทั้งหมดของชีวิตผมครับ


Chinese Translation: 叶包子@baidu
English Translation: Rice @ BigbangWorld
Scans by Tisya @ bigbangupdates
Thai translation by undercover@vipp@choitopthailand

0 comments:

แสดงความคิดเห็น