Flag Counter

free counters

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ ยองแบ จากสมุดภาพ Electric love tour Japan



- ฉันเห็นคุณออกทีวีด้วยเมื่อเช้านี้
(ยิ้มเขินๆ) จริงๆแล้วผมก็เพิ่งตื่นนะครับ ดังนั้นมันเลยรู้สึกเหมือนว่ากำลังฝันอยู่เลยครับ

- ไม่หรอกไม่ใช่หรอกค่ะ คุณเป็นคนที่คอยทำให้สมาชิกในวงที่กำลังเผชิญกับความยุ่งยาก
อยู่กับงานต่างๆที่ไม่ใช่งานเพลงสดใสขึ้นมาได้เสมอแน่นอน

ครับ แต่จริงๆแล้วผมเป็นคนขี้อายนะครับ ผมเป็นคนที่ชอบเขิลมากที่สุดแล้วในบรรดาสมาชิกในวงบิกแบง

-แต่คุณดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลยนะค่ะ งั้นคุณคิดว่าตัวเองเป็นคนยังไงค่ะ คนที่ขี้อายเหรอ??
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น : shojiki bocumo bocuo yocuwa karimasen)
พูดตามตรงนะครับ ผมก็ไม่ได้รู้จักตัวเองดีขนาดนั้นหรอกฮะ

- Oh คุณพูดภาษาญี่ปุ่นเก่งทีเดียวนะค่ะ
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น: um, etto jenjen madamadadae smimasan)
อืมมม ผมยังคงไม่เก่งเท่าไหร่หรอกครับดังนั้นหวังว่าคุณจะเข้าใจ นะครับ

- งั้นคุณสะดวกใจที่จะพูดภาษาไหนก็ได้ค่ะ
(หัวเราะ) ครับ งั้นต่อกันเลยนะครับ ยกตัวอย่างว่า ผู้คนมักจะพูดว่า " นี่แหละฉันคิดว่าแทยังเป็นคนแบบนี้แหละ"
พวกเค้าจะพูดว่าผมเป็นคนที่มักจริงจังและกังวลมากๆ พวกเค้าจะบอกว่า " คุณจะทำอะไรได้ยังไงในเมื่อคุณมักจะห่วงคนอื่นๆตลอดเวลา??"
เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ผมเป็นคนที่สร้างความกังวลให้กับคนอื่นอีก(หัวเราะแบบขมขื่น)
แต่ว่าในปี 2010 นี้ผมได้เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในตัวเองครั้งใหญ่ มีบางช่วงที่เรื่องส่วนตัวทำให้ผมต้องเผชิญกับความยากลำบาก
ยกตัวอย่างเช่น มันทำให้ผมนอนไม่หลับ แต่ในที่สุดผมก็พบคำตอบและในที่สุดผมก็เอาชนะมันได้
ผมเริ่มที่จะคิดทุกอย่างในแง่ดี และผมก็พูดจาอย่างกระตือรือร้นออกทีวี ไม่ก็หน้าของผมคงแสดงสีหน้าออกมาให้เห็น นั่นแหละครับ


 Reduced: 95% of original size [ 534 x 799 ] - Click to view full image


- คุณจะช่วยแบ่งปันให้เราฟังได้ไม๊?? ว่าปัญหาที่คุณต้องเผชิญคืออะไร??
จริงๆมันก็ไม่ได้ผ่านไปนานขนาดนั้นหรอกครับ แต่หลังจากที่ผมเริ่มมาทำอาชีพเป็นนักร้อง ผมจะถามตัวเองทุกวันว่า
" ตอนนี้ผมจะต้องทำอะไร??""นี่เป็นสิ่งที่ควรจะทำแล้วใช่ไม๊??" ซึ่งมันเป็นแบบนี้มากว่า 3 ปีแล้ว
และผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองก็มีข้อจำกัดเหมือนกัน เหมือนกับเดินทางมาเจอกำแพงหรืออะไรแบบนั้น
ผมรู้สึกกลัวมากว่ามันอาจจะร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าผมจะไม่มีเหตุผลที่จะร้องเพลงอีกต่อไปแล้ว
ยังไงก็ตามในช่วงต้นปี 2010 วันนึง ผมก็เริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะกลัวเลย
ผมคิดว่า ผมไม่ต้องจบที่ กำแพงนี้นี่น่า แต่ผมอยู่ในจุดที่ " บางทีผมน่าจะลองทำแบบนี้ดูก็ได้นี่" แบบนั้นครับ

- อ่าค่ะ ฉันรู้สึกประหลาดใจนะที่คุณรู้สึกว่าคุณมีข้อจำกัดในเรื่องดนตรี
บางทีบางคนอาจจะคิดว่ามันเป็นปกตินะที่บิกแบงจะเริ่ม โด่งดังขึ้นเรื่อยๆๆ และได้รับความนิยมมากขึ้น
แต่ว่าเราต้องผ่านการต่อสู้ ต้องทะเลาะกัน และต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ในขึ้นตอนกว่าที่จะออกมาได้
และ นานๆทีผมก็จะรู้สึกท่วมท้นในใจและคิดว่า "ผมจะผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ยังไง??"

- มันคงยากมากๆในการที่จะยืนอยู่ในจุดสูงสุด มันเหมือนกับว่านอกจากที่ต้องจินตนาการถึงการแสดงที่คุณจำเป็นต้องทำให้ดีขึ้นๆๆ
ต่อจากนี้ไป ฉันยังสงสัยว่าคุณจะต้องใส่ความพยายามอย่างหนักแค่ไหนเบื้องหลัง

ผมคิดว่าการได้เดบิวนั้นมันเป็นเรื่องง่าย มันเป็นเส้นในการเริ่มต้น แน่นอนว่ามันลำบากแต่มันก็ยังง่าย
เพราะว่ามันมีระยะในการที่จะท้าทายและเราก็ท้าทายในทุกอย่างที่เราต้องการได้
แต่ถ้าเราอยู่ในที่สูงแล้วกำแพงที่เราจะเจอมันจะยิ่งหนาขึ้นสูงขึ้น เหมือนกับที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากนี้เราก็สูญเสียความสดใหม่ไปด้วย การที่ต้องรู้สึกเรื่องยากเหล่านี้ทุกวันๆๆ แต่ผมพยายามที่จะคิดแก้ไปทีละอย่างๆ
และเริ่มที่จะมั่นใจมากขึ้นและผมคิดว่านั่นแหละที่เราไปสู่ความสำเร็จในการทัวร์คอนเสรืต์ electric love tour ครั้งนี้


-จริงๆนะค่ะ ทัวร์คอนเสริ์ตครั้งนี้มันวิเศษมาก
มันสุดยอดจริงๆครับ ผมแสดงในคอนเสริต์มามากมายแต่ว่าก็มีไม่มากหรอกครับที่ผมจะจดจำมันได้
แต่ว่าทัวร์ ELT นี้เป็นหนึ่งในการทัวร์คอนเสริต์ที่ผมประทับมันไว้ในใจ อุปกรณ์กลไกบนเวทีก็วิเศษมาก
นอกจากพวกอุปกรณ์ต่างๆแล้วเราสนุกกับมันมากจริงๆ นอกจากนี้ผู้ชมก็สนุกกับมันมากด้วยเช่นกัน

- ใช่ค่ะ มันสว่างสไวมากด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มไม่ใช่แค่เวที แต่แฟนๆก็ด้วย
ผมรู้สึกดีใจมากๆๆ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราที่จะได้รับความโด่งดังและได้รับการตอบรับที่ดี
แต่การที่ได้ทำเพลงที่สามารถสร้างความประทับใจลึกๆลงไปในใจของผู้คน หรือการที่มีคนห่วงใยเรา มันสำคัญยิ่งกว่า
ผมคิดว่ามันจะเยี่ยมมากถ้าคนสามารถรู้สึกถึงความรัก และใช้ชีวิตเต็มไปด้วยความรัก
ผมอยากให้พวกเค้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างหลังจากที่ดูคอนเสริต์จบแล้วกลับไปสู่โลกแห่งความจริง

- แทยัง คุณเป็นคนที่เต้นและร้องเพลงได้อย่างเป็นมืออาชีพ แต่ฉันรู้สึกว่าสนิทกับคุณมากขึ้นอีก หลังงานคอนเสริต์
ทุกอย่างเหมือนกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสัมภาษณ์แบบนี้ การร้องเพลงบนเวที หรือการถ่ายรายการอะไรก็ตาม
ผมทำมันในแบบที่เป็นตัวของตัวเองทั้งหมด มันเลยอาจจะทำให้คุณรู้สึกถึงความเป็นมิตร
แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่แย่นะครับในการที่ดาราจะทำให้คนรู้สึกว่าเข้าใกล้ยาก
ถึงขนาดที่ว่ามีบางส่วนผมก็รู้สึกชื่นชมพวกเค้าซะด้วยซ้ำ แต่สำหรับผม
ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของผมให้พวกคุณได้เห็น

 Reduced: 85% of original size [ 600 x 419 ] - Click to view full image


- คุณต้องพยายามข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆด้วยความหลงใหลในดนตรี และทุกอย่างก็แสดงออกมาในการแสดงที่เยี่ยมยอด
ในขณะเดียวกันคุณก็แสดงออกถึงความเป็นมิตรและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมาด้วย
ได้ยินจากคุณแบบนี้แล้ว ฉันชักจะสนใจในตัวคุณมากขึ้นแล้ว

ผมคิดว่ายิ่งผมมีประสบการณ์บนเวทีมากแค่ไหน ผมก็จะยิ่งสามารถแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองออกมาได้มากขึ้นครับ

- แล้วคุณรู้สึกประหม่าบ้างไม๊ค่ะ แทยัง??
รู้สึกสิครับ รู้สึกครับ ผมรู้สึกประหม่ามากเลยด้วยตอนนี้

- (หัวเราะ) และมีวิธีทำให้หยุดประหม่าไม๊ค่ะ??
ก่อนที่จะขึ้นแสดงบนเวที ผมจะพูดกับตัวเอง ทิ้งความละโมบทุกอย่างไป
และความคิดที่ติดอยู่ในหัวผมคือ " เราจะต้องจบคอนเสริต์นี้ด้วยความสำเร็จ เราจะต้องทำให้ยอดเยี่ยม"

- โอ้ ~
มันยังมีสิ่งที่ผมต้องทำเพือที่จะทำให้ได้ คือ ผมจะทำอะไรดีๆ ไม่ก็ฟังเพลงเพื่อให้ผ่อนคลาย
แต่ว่าห้องรอก็มักจะเต็มไปด้วยผู้คนไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือสมาชิกในวงดังนั้นผมจะไปที่ห้องน้ำ
ไม่ใช่เพราะผมปวดท้องเพราะรู้สึกประหม่ามากไปนะครับ (หัวเราะ)
ห้องน้ำเป็นที่ที่ผมจะได้มีเวลาส่วนตัวและจะได้มุ่งเป้าหมายไปที่ตัวเองอะครับ


- พอคุณพูดเรื่อง ห้องน้ำ ตามที่ฉันจินตนาการว่าคุณไปนั่งในห้องน้ำพร้อมด้วย headphone อะไรต่างๆ
มันชวนให้ฉันนึกถึงนักกีฬาก่อนที่จะลงสนามเลย

อ่า เป็นไปได้ครับ ผมคิดว่าความรู้สึกของผมน่าจะเหมือนนักกีฬาที่ไปยืนอยู่ที่จุดสตาร์ทนะครับ


- แต่ที่แตกต่างกันคือคุณกำลังจะทำให้การแสดงเต็มไปด้วยความบันเทิงในขณะที่นักกีฬาก็แข่งเกมของเค้าไป
แต่ยังไงก็ตามการแสดงบนเวทีของบิกแบงนั้นเต็มไปด้วยความบันเทิงมากเลยนะค่ะ

นั่นเป็นข้อแข็งแกร่งของบิกแบงเลยนะครับ สิ่งที่สมาชิกแต่ละคนถนัดก็จะต่างกันออกไป มันเลยเห็นได้ชัดเลยว่า
จะมีไอเดียต่างๆมากมายเวลาเรามาแสดงร่วมกัน เราเป็นคน 5 คนที่มีความเป็นตัวของตัวเองต่างกันไป
และเป็นเพราะแบบนี้เราถึงสร้างโลกของเราให้เต็มไปด้วยความสนุกได้ สิ่งที่ผมทำได้คือ การร้องเพลงและการเต้น
และยังมีอะไรอีกมากมายที่สมาชิกในวงสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งผมทำไม่ได้ อย่างไปออกรายการวาไรตี้อะครับ....

- แต่จุดเด่นของคุณที่สามารถดึงดูดผู้คนได้อยู่ที่ น้ำเสียงและการเต้นที่ยอดเยี่ยม
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น: arigatto gojaiemas) ขอบคุณครับ (ยิ้ม)

 Reduced: 95% of original size [ 535 x 399 ] - Click to view full image


- สรุปแล้วคือมีคนที่ต่างก็มีความเป็นตัวเองมารวมตัวกัน 5 คน
ครับ ขนาดผมผมก็ยังรู้สึกทึ่งเลย มีหลายคนอาจจะคิดว่า
ณ จุดนึง เราต้องมีความรู้สึกถึงความเป็นคู่แข่งเป็นศัตรูหรือต้องมีทะเลาะกันบ้าง
ซึ่งการทะเลาะกันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะต่างก็เดินไปในทางเดียวกัน แน่นอนว่าต้องมีเรื่องที่ไม่ค่อยจะถูกใจ
และในตอนแรกเป็นเพราะสมาชิกทั้ง 5 ต่างก็มีชีวิตที่ต่างกัน (หัวเราะ)
แต่เราก็สามารถที่จะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นมากขึ้นในกันและกันเมื่อเราได้มาใช้ชีวิตร่วมกันและมีประสบการณ์ร่วมกัน
จริงอยู่ว่ามันยังมีสิ่งต่างๆมากมายที่เราต้องการอยากจะทำและสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายว่าอยากจะทำ
แต่สิ่งหนึ่งที่สมาชิกทุกคนต่างก็รักเหมือนกัน นั่นคือ ดนตรีครับ

- คุณคิดว่า สมาชิกในวงแต่ละคนเป็นคนยังไงกันบ้าง??
โอเค เล่าไปทีละคนนะครับ
จีดราก้อนเป็นคนที่จะเกลียดการถูกควบคุมมากๆเลยฮะ เค้ามักจะเดินทางที่มีอิสระ
ในขณะเดียวกันเค้าก็เป็นคนที่ยืดหยุ่นและพร้อมรับสิ่งใหม่ๆโดยที่ไม่กลัวเลยและในที่สุดก็จะนำมาปรับเป็นสไตล์ของเค้า
สไตล์การแต่งเพลงของเค้าแสดงออกในเรื่องนี้อย่างมาก แม้กระทั่งทรงผมของเค้าก็มักจะเปลี่ยนไป ใช่ไม๊ฮะ??
ท็อปเป็นสมาชิกที่มีอายุมากที่สุด และมีเสน่ห์ในตัวเองไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือการกระทำ
เค้าเท่มาก ขนาดพวกเราก็ยังสังเกตเห็นมันได้จาก ในละครหรือในการแสดงบนเวที
แต่ในขณะเดียวกันเค้าก็เป็นคนที่ตลกที่สุดด้วย
แดซองเป็นคนที่มีเสน่ห์ในตัวเองและมักจะทำให้ผู้คนคาดหวังว่า " อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกันนะ??" ไม่ว่าเค้าจะไปทำงานอะไรก็ตาม


- และรอยยิ้มของเค้าด้วย
ครับนั่นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดมากของแดซอง นอกจากนี้เค้าและผมมีบุคคลิกที่คล้ายๆกัน
ดังนั้นเค้าจะเป็นคนที่เหมือนกับอยู่ในความถี่คลื่นเดียวกันผม และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมและเค้าแชร์ห้องกันอะครับ


- มันคงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆนะค่ะที่คุณมีงานที่ต่างประเทศมากขึ้น
ครับ มันเหมือนกับว่าเราใช้ชีวิตด้วยกันและต้องมาเจอกันทุกวันๆ
ผมเลยแชร์ห้องกับแดซองและจีดราก้อนแชร์กับซึงรีครับ

- งั้นแล้วท็อปละค่ะ ?
เราไม่มีทางเลือกอะครับ เราไม่สามารถที่จะมาอยู่รวมกัน 3 คนได้
และนอกจากนี้ ท็อปก็เป็นคนที่มักจะชอบใช้ชีวิตอยู่คนเดียว (ยิ้ม)
และซึงรีก็มักจะกระตือรือร้นและมั่นใจเสมอ เค้ามักจะมองโลกในแง่ดี
ซึ่งตรงกันข้ามกับผมลย แต่ผมคิดว่ามันเป็นบุคคลิกที่น่าหลงใหลนะครับ

- อ่า เข้าใจแล้วละค่ะว่าทำไมคุณถึงไม่สามารถแชร์ห้องกับเค้าได้
(หัวเราะ) นอกจากนี้เค้าก็ยังเป็นตัวป่วนเล็กๆนะครับ ไม่ใช่ว่าเค้าไปสร้างปัญหาใหญ่ๆหรอกนะครับ
แต่เค้ามักจะก่อเรื่องเล็กน้อยๆตลอดเวลา ทุกคนจะแบบว่า " ใจเย็นๆก่อนได้ไม๊???"


- เค้าดูเป็นน้องคนเล็กแบบนั้นไม๊ค่ะ?? และก็ยังเป็นน้องเล็กจริงๆซะด้วยในวงบิกแบง
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น) สมาชิกทุกคนต่างก็คอยกังวลเล็กๆในเรื่องของเค้าตลอดเวลาอะครับ

- งั้น ในบิกแบงคุณคิดว่าคุณรับบทอะไร???
อืมม..........

- กลายเป็นว่าจู่ๆก็พูดเรื่องตัวเองไม่ออกซะอย่างงั้น ใช่ไม๊ค่ะ?? (หัวเราะ)
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น: ichibang muzkasiei) มันเป็นเรื่องยากที่สุดเลยครับ
มันน่าจะคล้ายๆกับสิ่งที่ผมได้พูดไปแล้วแหละครับ
ผมอยากจะให้สมาชิกในวงไม่ลืมสิ่งหลักๆที่เป็นเหตุผลให้เราทำงานเพลงของตัวเองออกมาและขึ้นแสดงบนเวที
การที่สมาชิกในวงบิกแบงมีความเป็นตัวของตัวเองและมีความสามารถของแต่ละคน
นั่นหมายความว่ามันมีทางเป็นไปได้ที่ บิกแบงจะแยกวงออกไปทำงานเดี่ยวได้อย่างง่ายดาย
บทบาทของผมคือ ผมจะต้องพยายามทำตัวให้จริงจังเกี่ยวกับความคิดที่เรามีในเรื่องของดนตรี
และเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายที่เราต่างก็มีเหมือนกันต่องานเพลง ในฐานะบิกแบง ผมคิดว่าผมต้องทำหน้าที่นี้
เพราะผมก็ไม่มีความสามารถอะไรนอกจากทำสิ่งนี้ และร้องเพลง

- ใช่ค่ะ ก็เหมือนกับที่ฉันพูดไปไง ว่าคุณมีเสียงที่โดดเด่นมากอยู่แล้ว นั่นมันเป็นการถ่อมตัวเกินไป
และมันไม่มีประโยชน์เลยคุณมีนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยไม๊ค่ะ??

ครับแน่นอนครับ ตั้งแต่เด็กแล้วผมมีเรื่องให้คิดและต้องกังวลมากเลยครับ (หัวเราะ)
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องสร้างความคิดในแง่บวก
และผมคิดว่าที่ผมเลือกอยากจะเดินทางในเส้นทางดนตรีตั้งแต่อายุ 13 ก็เพราะบุคคลิกอันนี้แหละฮะ


- ฟังดูมันเร็วไปมากเลยนะค่ะที่จะเลือกอนาคตให้กับตัวเองตั้งแต่อายุ 13
ดนตรีเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆตัวผมครับ ตั้งแต่ผมอยู่ชั้นอนุบาลแล้ว ผมได้เรียน เปียโนคลาสลิกและฟังเพลงของฝั่งตะวันตก
โดยเฉพาะดนตรีของพวกแอฟริกันอเมริกัน (คนผิวดำ)ซึ่งมันมีผลกับผมมากสืบเนื่องมาจากพี่ชายที่อายุมากกว่าผม 5 ปีครับ
ผมคิดว่ามันเจ๋งมากๆถึงแม้ว่าจะไม่รู้ชื่อเพลงหรือคนร้องก็ตาม

- แล้วอะไรที่ทำให้คุณลุกขึ้นมาร้องเพลงจริงๆค่ะ ไม่ใช่เอาแต่มีความสุขในการฟังเพลงเฉยๆ
ผมไม่เคยร้องเพลงต่อหน้าคุณแม่หรือเพื่อนเลยครับเพราะผมเป็นคนขี้อายมาก ผมแค่ฟังเทปของพี่ชายและจดจำเนื้อเพลงเอาไว้
ร้องและเต้นแต่ในห้องเท่านั้น ยืนอยู่บนเวทีของตัวเองในโลกส่วนตัวของตัวเอง (อาย)
แต่โลกที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้มันกลายเป็นโลกที่แท้จริงแล้ว จริงนะครับ ผมคิดว่าที่ผมมาอยู่ที่นี่ที่ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ได้
เพราะ จินตนาการและความหวังที่แรงกล้าที่จะเป็นอย่างทุกวันนี้มาตั้งแต่สมัยโน่นอะครับ


- ฉันเดาว่ามันคงจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับคนรอบข้างคุณเลยใช่ไม๊??
ใช่เลยครับ คนที่จำผมได้เมื่อ ตอนอายุ 13 รวมถึงครอบครัวของผมด้วย ต่างก็พูดกันว่า " นายเปลี่ยนไปนะ"
ในตอนแรกผมก้าวเข้ามาในโลกบันเทิงนี้ไม่ใช่ในฐานะนักร้องแต่เป็นนักแสดงเด็กที่สมัครเข้ามาออดิชั่นในวายจี
ผมคิดว่าโอกาสครั้งนั้นไม่ได้ได้มาเพราะบังเอิญนะครับที่ผมจะเดินตามความฝันของผมโดยใช้โอกาสนั้น
แต่เพราะผมเป็นคนแบบนั้นอะครับ มักจะคิดแล้วคิดอีก ไม่รู้จะทำยังไง และไม่ค่อยกระโจนใส่อะไรแบบนั้นเท่าไหร่ (ยิ้มแบบขมขื่น)
แต่ผมเดาว่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมพยายามทำลายกำแพงในใจและข้ามผ่านข้อจำกัดของตัวเองครับ

- งั้น อะไรที่คุณคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณหันมาทำงานด้านดนตรีค่ะ??
มีเยอะมากเลยครับ หนึ่งในนั้นคือ หลังจากที่ผมได้เข้าไปที่ออฟฟิศวายจี
ผมได้รู้จักเพลง hip hop หลังจากที่ได้ไปมีส่วนใน MV ของรุ่นพี่ที่บริษัทคือ พี่ jinujean ผมก็ตกหลุมรักเพลง Hip hop ครับ
แต่หลังจากที่ผมได้เรียนรู้ในดนตรีอย่างเป็นจริงเป็นจังและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง ดนตรีที่ผมมักจะฟังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ
อย่าง เพลงของ Stevie Wonder ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรากฐานของดนตรีแบบ R&B ผมเลยรู้สึกเหมือนกับว่า
" โอ้ เพลงแบบนี้มันถือกำเนิดขึ้นมาเพราะศิลปินคนนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่บังเอิญที่ผมจะตกหลุมรักเพลงประเภทนี้
เนื่องจากมันเชื่อมโยงกัน และมีส่วนที่คล้ายๆกันอยู่" หลังจากที่ผมยิ่งเรียนรู้มันอย่างลึกซึ้งผมก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจครับ

- อืม ฉันคิดว่าฉันเข้าใจที่คุณพูดนะค่ะ
จุดเปลี่ยนอีกจุดนึงของผม มาจาก การทำงานใน mini อัลบั้มเดี่ยวของผมที่ออกมาเมื่อสองปีก่อนครับ
ในตอนที่ผมทำงานในอัลบั้มนั้น ผมได้พูดคุยอย่างลึกซึ้งกับโปรดิวเซอร์ คือ พี่เท็ดดี้ เราพูดคุยกันบ่อยมาก
ในเรื่องอย่างเช่น ความคิดเห็นของเราและความรู้สึกที่อยากจะบรรยายลงไปในอัลบั้ม
เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะเป็นตัวตนของผมที่แท้จริง และเป็นมุมมองในชีวิตของผมทั้งหมด

 Reduced: 95% of original size [ 536 x 799 ] - Click to view full image


- ประสบการณ์ในชีวิตของแทยัง เป็นตัวคุณที่แท้จริง
มันเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอในช่วงหลังนี้ครับ ว่าผมก้แค่เป็นตัวเอง ไม่ว่าผมจะต้องพบเจอกับใครตลอดทางที่ผ่านมา
และมันก็ไม่คุ้มกันหรอกที่จะมานั่งกังวลในเรื่องเล็กๆในทุกๆสิ่งตลอดเวลา
แต่เป็นเพราะมันเป็นบุคคลิกของผมและมันทำให้ผมเป้นผม
อ่า ผมหมายความว่า ตอนนี้ผมมีความแข็งแรงที่จะตามหาตัวตนของตัวเองและเป็นตัวของตัวเอง
ไม่ว่าผมจะพยายามทำสิ่งใหม่ใดๆก็ตาม จริงๆผมก็ยังกลัวที่จะลองในสิ่งใหม่ๆนะครับ แต่ผมเริ่มที่จะมีความมั่นใจขึ้นแล้ว ครับ


- แทยังค่ะ ความฝันของคุณคืออะไร??
อืม....ผมรู้สึกว่าผมมีความทะเยอทะยานอยากมากๆๆในตอนที่ผมเริ่มฝันที่จะมีอาชีพเป็นนักร้อง
มันเหมือนกับว่า จุดมุ่งหมายของผมคือ " ผมอยากจะเป็นที่สุดในโลก" (หัวเราะ)
แต่ตอนนี้ ผมต้องการแค่จะพยายามให้มากที่สุดในการทำเพลงที่ยอดเยี่ยมออกมา
และการแสดงบนเวทีที่ยอดเยี่ยม บางทีในเส้นทางนั้น มันต้องมีคนที่จะจดจำผมในฐานะที่ 1 ในใจของเค้าบ้างแน่ๆ


- นักดนตรีในดวงใจของคุณคืดใครค่ะ?
MJ! (Michael Jackson)

- ทำไมค่ะ เพราะ เพลงของเค้าหรือเพราะลักษณะภายนอกของเค้า ??
ทุกอย่างที่เป็นเค้าครับ แต่ไม่ใช่ว่าผมอยากที่จะเลียนแบบเค้าหรือว่าอะไรนะครับ ผมอยากจะเรียนรู้สิ่งที่อยู่ในใจเค้า
อะไรที่เค้าพยายามจะพูดออกมาผ่านเสียงเพลงของเค้า แน่นอนว่าผมหลงใหลเค้ามาก
เสียงของเค้า การเต้น และ แฟชั่นของเค้า เค้าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะทำเพลงในแบบที่เค้าทำออกมาได้
ดังนั้นมันเลยเป็นเหตุผลที่ว่าผมจะต้องหาแบบของตัวผมเองให้ได้ ดนตรีในแบบของแทยัง
ก่อนหน้านี้ผมก็แค่เลียนแบบเค้า แต่ ครับ จุดมุ่งหมายของผมคือ หาดนตรีในแบบของตัวเองให้ได้

- อะไรเป็นความใฝ่ฝันของคุณ ในฐานะ บิกแบง??
เราไม่มีเป็นจุดหมายที่แน่นอนและมุ่งไปหรอครับ ตอนนี้เราแค่ทำให้ดีที่สุด
อย่างตอนนี้ เราเริ่มที่จะได้รับความนิยมที่ญี่ปุ่นแล้ว มีหลายคนที่จำเพลงของเราได้และรักเรา
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่กล้าคิดและแทบจะไม่เชื่อว่าเป็นจริง แม้กระทั่งในตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
ดังนั้นผมคิดว่าจากนี้ไปเราต้องทำให้ดีที่สุดเหมือนกับที่เรากำลังทำอยู่ ซึ่งมันจะต้องให้ผลที่ยอดเยี่ยมแน่ๆในอนาคต

- โอเคค่ะ มาถึงคำถามสุดท้ายแล้วนะค่ะ ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญด้วย อะไรเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตคุณ??
อืม.... มันมีอยู่แหละครับ มันมีแน่ๆ แต่มันสำคัญมากเกินกว่าที่จะมาพูดกันได้ตอนนี้ครับ (หัวเราะ)

- โอ้ มีอะไรบางอย่างสินะค่ะ (หัวเราะ)
มันต้องมีครับและมีอยู่แล้วครับ

- โอเคค่ะ งั้น อะไรที่คุณต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ??
สิ่งที่ผมอยากได้เหรอครับ....เวลาครับ และสิ่งที่มีค่าในชีวิตของผมคงเป็น "ความรัก" (เขิน)

- แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดยังคงเก็บเป็นความลับใช่ไม๊ค่ะ ??
(ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น: heimize des) เป็นความลับครับ

Eng Translation: ?????/HuisuYoon
Thai Translation by undercover @ Vipp @ Choitopthailand

0 comments:

แสดงความคิดเห็น