Flag Counter

free counters

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ G-dragon กับ 10asia




นักข่าวจาก 10asia ของเราได้ใช้เวลาทั้งหมด 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคมจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม
ยอมทำงานในวันหยุดรวมถึงทำงานในวันคริสมาสอีกด้วย
แต่ยังไงก็ตามแต่ มันก็คืองานใช่ไม๊ละ?? ในระหว่าง 3 วันนั้น เราได้ไปชมการแสดงของ จีดีและท้อป
เราได้สัมภาษณ์เค้าในสตูดิโอที่ใช้ในการถ่ายทำเลย และ ได้ถ่ายรูปพวกเค้าบนเวทีมาด้วย
เรารู้สึกแย่แทนพวกเค้าทั้งคู่ที่ต้องใช้เวลาในวันคริสมาสทำงาน และอยู่กันเองสองคน

ด้านล่างนี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ตัดมาการจากสัมภาษณ์ที่ทาง 10asia ไปสัมภาษณ์ จีดราก้อนมาค่ะ


10: ดูตาของคุณจะเริ่มมีสีดำๆใต้ตาแล้วนะครับเนี่ย (หัวเราะ)
GD: ครับ, ผมขึ้นแสดงทั้งคืนเลยเมื่อวานก็ด้วยครับ (หัวเราะ)

10: คุณเริ่มที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบยุ่งๆๆอีกแล้วนะครับ
ผมรู้มาว่าคุณมีความสุขมากเลยกับการมีเวลาอย่างเต็มที่หลังจากที่หมดช่วงโปรโมทงานเดี่ยวของคุณนะ

GD: ผมปาร์ตี้อย่างหนักเลยครับประมาณ 1-2 เดือนหลังจากที่ได้รับอนุญาติจาก CEO บริษัท คุณยางฮยอนซอก
ว่าให้ไปเที่ยวได้หลังจากที่หมดกิจกรมในการโปรโมทงานเดี่ยวของผมครับ (หัวเราะ)

10: ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกรึเปล่าที่คุณได้มีเวลาว่างจริงๆตั้งแต่คุณเดบิวมา??
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับคุณหลังจากที่ได้มีเวลาว่างนั้นคืออะไรครับ??


GD: มันเป็นความรู้สึกที่เหนื่อยและยากมากในตอนที่พวกเรา(บิกแบง)มีตารางานที่ยุ่งมากๆครับ
แต่ความรู้สึกทุกอย่างก็หายไปเมื่องานจบ (หัวเราะ)
ผมคิดว่ามันคล้ายๆกับความรู้สึกนั้นนะครับ ทุกอย่างในอดีตดูเหมือนกับว่ามันไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
และนั่นเป็นเหตุผลว่าผมถึงมีเวลาค่อนข้างมากในการเตรียมตัวของผมเองสำหรับงานในอนาคต
หลังจากได้มานั่งทบทวนและมองสิ่งต่างๆ หนึ่งปีหลังจากที่ผมจบงานในอัลบั้มเดี่ยว
มันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้เดบิวมาที่ผมมีเวลาจะเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนหรือการคิด
ผมสามารถที่จะทำงานในแบบที่สบายๆๆหลังจากที่ผมใช้เวลาหลายๆปีให้หลังนี้รีบเร่งกับทุกสิ่ง
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมมั่นใจมากๆๆในอัลบั้มใหม่และมั่นใจในการพบปะกับผู้ใหญ่ ครับ

10: ผมหาคำที่เหมาะสมๆๆมาอธิบายยังไม่ได้แต่ผมเดาว่าทัศนคติของคุณเปลี่ยนไปใช่ไม๊ครับ???
GD: ครับ ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปมากทีเดียว
ผมกลายเป็นคนที่สงบนิ่งมากขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองพยายามที่จะทำความเข้าใจในหลายๆสิ่งมากขึ้น
ท่านประธานบอกกับผมว่าผมไม่ควรที่จะนึกถึงแต่ตัวเองเพียงอย่างเดียว
แต่ให้ผมลองคิดในทางกลับกัน ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่นบ้าง
และผมก็เริ่มที่จะเข้าใจทุกๆๆอย่างดีขึ้นหลังจากที่ได้ยินเค้าพูดแบบนั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีงานเยอะมากๆ ผมมักจะบ่นว่า ทำไมเราต้องทำงานเยอะขนาดนี้ด้วย แล้วก็โมโห
แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าแม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดก็มีความสำคัญ อาจจะพูดเปรียบได้ว่าผมเหมือนกับคนที่เพิ่งหายจากโรคที่ร้ายแรงมาก
และในตอนนี้ผมอยู่ในสภาพที่ดีมากๆๆๆ และผมก็กำลังรอคอยสิ่งที่ผมกำลังจะทำต่อไปในอนาคตครับ

10: ดูเหมือนคุณจะได้ลิ้มลองรสชาติของอิสรภาพซะแล้ว (หัวเราะ)
GD: จิตใจของผมรู้สึกสดชื่นมากๆๆเพราะผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ผมควรจะทำมากกว่าจะเรียกว่ามันคืออิสรภาพครับ
คนอื่นๆอาจจะพูดว่าผมประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่มาแล้ว
แต่สำหรับผมมันเหมือนกับเป็นแรงกระตุ้นให้กับผมและเป็นหนึ่งในกระบวนการที่จะทำให้ผมพัฒนาไปได้อีก
ส่วนในตอนนี้ แทนที่จะมาเป็นกังวลว่าคนอื่นจะมองเห็นว่าผมเป็นยังไง
ผมต้องการที่จะนำเสนอสิ่งผมสามารถให้กับพวกเค้าได้ออกไปแทนครับ


10: งั้นหมายความว่าเมื่อก่อนคุณเคยคิดกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณเหรอครับ??
GD: เมือก่อน ผมยอมเปลี่ยนอะไรมากมายรวมถึงเปลี่ยนโทนเสียงของตัวเอง ด้วย
นั่นเป็นเพราะผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบในหน้าที่การงานตอนที่ผมอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆๆครับ
ผมจะมีภาพพจน์กับคนอื่นอย่างนึงซึ่งมันก็จะเป็นภาพที่ต่างไปจากตอนที่ผมอยู่กับเพือนๆ
แต่ตอนนี้ ภาพทั้งสองภาพนั้นมันเป็นภาพเดียวกันแล้วครับ และมันทำให้ตอนนี้ผมกลัวที่จะให้สัมภาษณ์
ผมคิดว่าการทำลายเส้นกั้นระหว่างตัวผมเองที่เป็นศิลปินกับตัวผมที่เป็นตัวตนจริงๆๆนั้นเป็นเรื่องที่ดี
แต่มันก็กลายเป็นเรื่องอันตรายในการให้สัมภาษณ์กับสื่อที่เกาหลี (หัวเราะ)
เหนือสิ่งอื่นใดนะครับ ผมไม่รู้สึกว่ามันมีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลว่าคนอื่นจะมามองว่าผมเป็นยังไง
ผมเป็นแบบนี้และนี่คือผมจริงๆและผมคิดว่าผู้คนชอบผมเพราะผมเป็นตัวเอง
ซึ่งผมก็จะทำแบบนี้ต่อไปครับ


10: ผมคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในเนื้อเพลง ใน intro ท่อนที่ว่า
"แม้ว่าผมจะไม่สูงนัก แต่ผมมีแฟนสาวสูง " ถึงเป็นท่อนที่น่าจดจำทีเดียว
มันดูเหมือนกับว่าคุณไม่ต้องการที่จะลากเอาสิ่งเก่าๆที่เกิดขึ้นกับคุณมาประกาศแก้ตัว
แต่คุณกลับทิ้งมันไป โดยพูดแค่ว่า "อ่า ก็ผมเป็นของผมแบบนี้แหละ " แบบนั้น


GD: มันเคลียร์ไปหลายอย่างเลยครับ
ตอนที่ผมเริ่มเดบิว ผมยังเด็กกว่านี้และผมไม่เคยคิดเลยว่า ภาพลักษณ์แบบไหนที่ผมถูกวาดและนำเสนอออกไปให้กับคนอื่น
และผมเริ่มมาประเมินในเรื่องนี้หลังจากที่ผมออกอัลบั้มเดี่ยว ผมได้รับประสบการณ์ที่เจ็บปวดมากมาย
มันน่ากลัวถึงจุดที่ว่าผมกลัวที่จะตื่นขึ้นมาในทุกๆวัน เพราะเมื่อผมตื่นขึ้นมามักจะมีเรื่องใดไม่ก็เรื่องหนึ่งเกิดขึ้น
ผมคิดว่ามันทำให้ผมแหลกสลายเลยในตอนนั้น

10: คุณเอาชนะมันมาได้ยังไงครับ??
GD: มันก็ใช้เวลานะฮะ เมื่อเวลาผ่านไปผมก็เริ่มตระหนักว่าผมเป็นนักร้องเพลงป็อป
ดังนั้นไม่ว่าเจตนาของผมจะเป็นยังไง สาธารณชนก็รับรู้ได้เพียงแค่สิ่งที่ผมทำออกมา
ดังนั้น มันก็เป็นความผิดของผมถ้าผมส่อเจตนาที่ผิดๆออกไป
และผมก็คิดว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งพูดในทุกๆๆรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมต้องการที่จะแสดงออกสบายๆในอัลบั้มครั้งหน้าไม่ก็ผ่านคำพูด
และผมก็ยังคงไม่เปิดปากพูดเพราะ วิธีที่ผมอยากจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองคือผ่านการ เขียนหรือพูดออกมา ไม่เป็นที่ยอมรับ
ดังนั้นในช่วงเวลานั้นผมจึงทำให้ดีที่สุดกับงานทุกอย่างที่ผมทำ และพยายามทุ่มเทในการแสดงออกทางสีหน้า
ตอนนี้ผมได้เห็นว่ามีคนมากขึ้นที่สนับสนุนผม จากนี้ไปผมคิดว่านี่แหละเป็นสิ่งที่ผมควรจะทำต่อไปจากนี้



10: การที่คุณเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองแบบนี้มีอิทธิพลต่อเพลงของคุณบ้างไม๊ครับ???
เพลงในอัลบั้มยูนิตพิเศษ เพลง "Baby good night"
ดูไม่เหมือนกับเพลงสไตล์ของคุณที่เคยทำออกมาก่อนหน้านี้เลย

GD: แน่นอนครับ มันเป็นเพราะเมื่อเรา ก้าวออกจากแม่พิมพ์เดิมๆออกมา สิ่งใดๆๆๆก็ย่อมเป็นไปได้อย่างไม่มีจุดจบ
ในขณะที่ศิลปินมักจะทำเพลงที่เหมือนกันออกมาแล้วออกมาอีก วนไปวนมา เมื่อตัดสินใจแล้วว่าสไตล์แบบนี้โอเค
คุณจะพูดว่ามันเป็นปัญหาของวงไอดอลเลยก็ว่าได้นะครับ และมันจะเป็นปัญหามากไปอีกถ้าพวกเค้าไม่ยอมจะออกจากกฏเกณฑ์นั้น
และมันจะแย่เข้าไปอีกถ้าพวกเค้าออกอัลบั้มต่อๆๆกัน ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ได้หยุดพัก


10: จริงด้วยนะครับ ศิลปินก็จะต้องเคลื่อนตามๆๆกันไปถ้าพวกเค้าไม่มีเวลาได้หยุดคิดบ้าง
GD: ครับ ผมคิดว่าเพลงในแบบที่ใช่มันไม่ใช่เพลงที่ทำออกมาได้ปุ๊บปั๊บเมื่อศิลปินคนนั้นรู้สึกว่ามันใข้ได้
ในทางตรงกันข้าม ผมรู้สึกว่าผมจะสามารถมีความสุขในการทำเพลงออกมาถ้าผมมีเวลาในการทำซักปีหนึ่งหรือสามเดือน
ผมรู้สึกว่าเมื่อจะทำงานเพลง การแสดงบนเวทีหรือการเล่นสนุกไปกับมัน นี่แหละเป็นตัวที่ส่งอิทธิพลโดยตรงให้กับงานเพลง

10: ดังนั้นจากนี้ไปมันคงจะต้องยากขึ้นละ คุณเคยยุ่งเขียนเพลงแล้วเพลงเล่าตั้งแต่คุณเริ่มเดบิว
GD: ผมสูญเสียความมั่นใจไปในช่วงนั้นครับ ผมคิดกับตัวเองว่าผมสามารถที่จะทำงานออกมาได้ดีที่สุดได้เสมอ
และมันทำให้ผมตกต่ำลงเมื่อผมขังตัวเองอยู่ในรูปแบบของเพลงในแนวของผม
ผมได้ยินมาว่า วง Seotaiji และนักร้องคนอื่นๆพูดเอาไว้ว่าพวกเค้าจะผ่านความทรมานนี้ไปเมื่อเค้านึกถึงการทำงานในอัลบั้มต่อไป
แต่ผมยังไม่เคยที่จะทำได้ตามคำพูดนั้นเลย มันอาจจะดูหลงตัวเองไปหน่อยที่จะพูดเรื่องนี้ในตอนที่ผมมีอายุเพียงเท่านี้เอง
แต่มันมีช่วงเวลาที่ผมมักจะคิดกับตัวเองว่า มันไม่มีอะไรที่จะแน่นอนและการันตีได้ว่าจากนี้ไปอีก 5 ปี หรือ 10 ปีจะเป็นยังไง
เมื่อผมคิดได้แบบนี้ผมก็จะทำในทุกๆอย่างที่ผมคิดว่าผมสามารถทำได้ออกมา

10: นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกแย่กับ เพลง Heartbreakerนะ
ในขณะที่คุณตอบโจทย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบในเพลง lie
กระบวนการที่เคยมีมันหายไปในเพลง Heartbreaker มันคล้ายๆกับเปิดช่องว่างให้คนสงสัย
ถึงแม้ว่าว่ามันจะไม่ได้มีการลอกเลียนอะไรมาก็ตามแต่
ผมสงสัยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไม๊??ถ้าคุณมีเวลาทำงานมากขึ้นกว่านี้


GD: นี่แหละฮะที่ทำให้ผมตระหนักว่าผมจำเป็นที่จะต้องมีเวลาในการเตรียมการ
ผมเคยชินที่จะแต่งเพลงในจุดจุดนึงเหมือนกับกดปุ่มซื้อของออกมาจากตู้อัติโนมัติ
แต่ตอนนี้ผมทนไม่ได้อีกต่อไปแล้วที่จะไปยืนอยู่ต่อหน้าแฟนกับเพลงที่ทำออกมาด้วยวิธีนั้น
และนี่ก็มีผลกระทบกับทัศนคติในการแสดงบนเวทีของผมด้วยเช่นกัน

10: ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ ตอนที่ผมได้ฟัง Heartbreaker ภาคสองที่คุณทำกับ Flo Rida
คราวนี้เพลงภาคสองนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องดนตรี มากกว่าเวอร์ชั่นที่ออกมาก่อน
เป็นการศึกษาตรวจสอบและประกอบเข้ากันใหม่ทำให้เกิดจังหวะและท่วงทำนองใหม่ขึ้น
มันจะออกมายอดเยี่ยมมากเลยถ้าภาค1 ที่ออกมาทำได้แบบที่ภาค 2 ทำได้


GD: คนส่วนใหญ่จะหันไปคุยเรื่องนี้ในส่วนของ florida
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เพลงนี้ก็จะถูกพูดถึงในเรื่องของการลอกเลียนผลงานควบคู่กันมาตลอด
ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งใจให้เริ่มแบบนั้น
สิ่งที่อยู่ในใจผมคือการที่นักดนตรีในประเทศของเราก็สามารถที่จะยืนอยู่ในระดับเดียวกับนักร้องจากต่างประเทศได้
เหมือนกับที่ผมร้องแร๊พบนเวทีเดียวกับ florida ในเพลงเดียวกันด้วย
มันก็เหมือนกับที่ผมเขียนลงไปในเนื้อเพลงแหละครับ " ผมไม่ควรจะคุกเข่าไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม"
แต่เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คำวิจารณ์ที่ผมได้รับมาก็มีทั้งดีและไม่ดี
จุดสนใจเลยไม่ได้ไปอยู่ที่เรื่องของดนตรีล้วนๆเลย ซึ่งมันก็น่าเสียดายครับ

10: ท่อนแร๊พของภาค 2 ก็น่าสนใจมากทีเดียวนะครับ
วิธีที่คุณแบ่งการแร๊พให้ลื่นไหลไปในช่วงสั้นๆๆและอัดเสียงแต่ละเสียงด้วยการแร๊พ
คุณสร้างท่อนที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่เริ่มจนจบในท่อนที่คุณรับผิดชอบเลยทีเดียว


GD:ผมแร๊พเร็วที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้เลยครับ (หัวเราะ) ตอนที่ผมทำงานในอัลบั้มเดี่ยว
ผมใช้เวลาตัดสินใจในการเรียบเรียงเพลงให้มันดูเหมาะสมกับการที่มันเป็นเพลงที่ใช้ในการโปรโมท
แต่มาในครั้งที่สองนี้ ท่อนที่ผมต้องร้องมาก่อนท่อนของ florida
ผมจึงตัดสินใจที่จะโชว์ทุกอย่างที่ผมต้องการออกมาทั้งหมดในเวลาที่ได้รับมาสั้นๆๆ
ผมจึงแร๊พออกไปอย่างหนักหน่วงและประกอบไปด้วยส่วนประกอบมากมาย


"ผมหวังว่าลำพังเพียงเนื้อเพลงก็สามารถทำให้รู้สึกว่ามันเป็นการเขียนที่ดี"

10: ผมเชื่อว่าความคิดทั้งหมดที่นำมาใช้แต่งเพลงในงานแต่ละชื้น
จะช่วยเปิดขอบเขตทั้งความเข้าใจและการแต่งเพลงของคุณให้กว้างขึ้นด้วยนะครับ


GD: ผมได้รับอิสระในบางแง่มุมครับ และความรู้สึกในแต่ละครั้งก็ต่างกัน คือในตอนที่ผมทำงานในฐานะบิกแบงกับงานเดี่ยว
แต่ทุกครั้งยิ่งผมทำงานมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นและได้เรียนรู้มากขึ้นไปในตัว
ผมจะไม่รู้เลยว่าผลลัพท์หรือตัวอัลบั้มที่ผมโปรดิวอยู่นี้จะออกมาเป็นยังไง
แต่ความรู้สึกที่ผมได้รับในประสบการณ์ในตอนนี้จะเป็นภาพสะท้อนให้กับอัลบั้มต่อไปของบิกแบง
เพราะทั้งผมและสมาชิกคนอื่นๆในวงก็สังเกตเห็นว่าดนตรีนั้นได้เติบโตขึ้น
ซึ่งมันเป็นผลดีในถนนสายนี้นะครับ

10: เนื้อเพลงของคุณก็ดูจะต่างไปจากเนื้อเพลงที่คุณเขียนในอดีตด้วยนะครับ
ในอัลบั้มล่าสุดนี้ คุณลงลึกลงไปในความคิดของคุณมากขึ้นแทนที่จะเป่าประกาศตัวตนของคุณออกมาให้สาธารณะได้รับรู้

GD: เหมือนกับภาพยนตร์ที่บรรจุเรื่องราวหลากหลายประเภทเอาไว้นะครับ มีทั้งตลก มีทั้งตื่นเต้น มีทั้งสยองขวัญ และอีกมากมาย
ผมตั้งสมาธิมุ่งมั่นไปกับมุมมองของการเล่าเรื่องในเนื้อเพลงมาก
ผมอยากให้มันดูเป็นเรื่องที่สมจริงไม่ว่าจะมีดนตรีหรือไม่มีก้อตาม ผมอยากจะตั้งเนื้อเรื่องที่ชัดเจนให้กับมัน
ผมคิดว่าผมคงได้รับอิทธิพลมาจากเพลงแร๊พของชาวต่างชาติที่ชอบแร๊พแบบมีเนื้อเรื่องด้วย
ซึ่งผมเติบโตมากับเพลงเหล่านี้อะครับ

10: ในเพลง Nightmare ในอัลบั้มล่าสุดมันสะท้อนจุดยืนของคุณได้ดีมากที่สุดเลยผมว่า
แค่ผมลองหลับตาผมก็เห็นภาพคนที่กำลังวิ่งและจากนั้นก็กำลังบินในตอนที่ฟังท่อนแรกของเพลง
มันรู้สึกฟังแล้วราบรื่นและมีท่วงทำนองจังหวะตั้งแต่ต้นจนจบเพลง

GD: ถูกต้องครับ ความประทับใจแบบนั้นแหละฮะที่ผมอยากจะให้คนรู้สึกเวลา หลับตาแล้วฟังเพลง Nightmare
ผมหวังที่จะแต่งเพลงแล้วให้รู้สึกเหมือนกับที่ภาพยนตร์เรื่อง Inception (ปี2010) แสดงออกมา
ที่ในช่วงท้ายของเรื่องเป็นความตื่นเต้นและแฟนตาซีแล้วแต่ว่าคนที่ดูจะคิดยังไง
ผมพยายามใส่ความตั้งใจลงไปเป็นพิเศษในส่วนนั้นซึ่งในตอนจบก็แล้วแต่ว่าใครจะเดาว่าจะให้เป็นไปในทางไหน

10: ผมไม่แน่ใจนะว่าเป็นเพราะว่าเพลง Nightmare นี้เป็นโซโล่แทรคของคุณรึเปล่า
แต่งานชิ้นนี้ผมว่ามันแสดงออกอย่างชัดเจนถึงบุคคลิกของคุณเลยจริงๆ
การเปลี่ยนเข้าแต่ละช่วงที่เฉียบคม ผมสามารถจับได้ว่ามีท่อนเปลี่ยนถึง 4 ช่วงในเพลง
สไตล์เพลงนั้นเป็นสไตล์ที่เราเคยพบมาแล้วในเพลง "Lies" และเพลง "Heartbreaker"
ซึ่งทั้งคู่มีจุดเริ่มและจุดจบที่มีเสียงเปลี่ยนไปแบบกะทันหัน
มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไม๊ ว่าทำไมสไตล์การแต่งเพลงแบบนี้ถึงเป็นสไตล์ที่คุณโปรดปรานครับ??

GD: นี่เป็นทางเดียวที่ผมจะได้แสดงออกว่าเพลงในแบบของผมเป็นแบบไหน ครับ
เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้คน ที่เดี๋ยวนี้สามารถที่จะทำริงโทนจากท่อนโปรดของตัวเองของเพลงต่างๆออกมาได้
ซึ่งท่อนที่ถูกเลือกนำไปตัดเป็นริงโทนส่วนใหญ่ก็เป็นช่วงของเพลงที่เด่นที่สุด
โดยมากช่วงที่มีลักษณะแบบนั้นก็คือช่วงคอรัส
และอีกอย่างคนสมัยนี้มักจะด่วนตัดสินใจประเมินค่าเพลงหนึ่งๆๆลงไปหลังจากที่ฟังไปไม่กี่ครั้ง
ดังนั้นท่อนที่เด่นๆอย่างคอรัสจึงยิ่งกลายเป็นท่อนที่มีความสำคัญมาก
แน่นอนว่าคุณอาจจะบอกได้ว่า เพลงนี้มันกลายเป็นเพลงฮิตไปแล้วละถ้าผู้คนจำในท่อนของคอรัสได้เพียงอย่างเดียว
แต่ผมต้องการให้ทุกส่วนของเพลงของผมเป็นที่จดจำ และนี่คือวิธีที่ผมจะทำให้เพลงของผมเป็นที่จำในทุกๆส่วน
โดยมีจุดหักมุมมีการหักเหแง่มุมในทุกๆๆตอนและมีเรื่องราวที่แตกต่างปรากฏขึ้นด้วย


"ตอนนี้แหละ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริง"

10: ดูเหมือนกับว่าคุณเพิ่งจะเดินทางมาถึงจุดที่คุณมีความมั่นใจอย่างมากกับชีวิตในตอนนี้
GD: ศิลปินนั้นควรที่จะเผชิญหน้าที่จะแสดงตัวตนออกสู่สาธารณชนนะฮะ
ในกรณีของผมผมทั้งทำงานเพลงและแสดงผลงานนั้นบนเวที
ผมมาได้ไกลขนาดนี้เพราะว่าผมคิดว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้
แต่ผมคิดว่าตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นภาระหนักสำหรับผมเพราะความจริงที่ว่าทุกๆๆๆอย่างจะต้องออกแสดงสู่สาธารณชนนะครับ

10: เมื่อปีที่แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ทุกอย่างที่สามารถนำไปเกี่ยวโยงกับจีดราก้อนได้กลายเป็นหัวข้อร้อนแรงไปซะหมด
GD: ครับ ภายใต้สถานการณ์นั้นผมกลายเป็นคนที่ยิ่งระมัดระวังและเหงามากขึ้นไปอีก
แต่หลังจากที่สามารถผ่านพ้นทุกอย่างนั้นมาได้ การที่ได้ทำเพลงของตัวเองและตื่นขึ้นมากับสิ่งใหม่ๆๆทุกวัน
ผมเชื่อว่าผมสามารถที่จะรับสิ่งต่างๆๆด้วยใจที่สดชื่นได้มากขึ้น
ผมคิดว่าผมสามารถที่จะโชว์ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ออกมาผ่านอัลบั้มใหม่นี้ครับ

10: ดูเหมือนว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงสินะครับ
GD: ใช่ครับ มันยังเหมือนกับว่าตอนนี้ผมถูกสร้างขึ้นมาใหม่จากประสบการณ์ที่ผมได้รับมาโดยตลอดทางที่ผ่านมา
และผมรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างแท้จริง ซึ่งกับบิกแบงก็เหมือนกันครับ

10: งั้นในตอนนี้คุณอยากที่จะทำอะไรครับ??
จากเนื้อเพลงเพลง HighHigh ที่คุณเขียนออกมาว่า ชีวิตนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสทองที่จะมาเยือนเราเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แต่ในความเป็นจริง ความพยายามที่จะยืนหยัดต่อสู้ของคุณในวงการเพลงนี้ตั้งหากที่ทำให้คุณมาไกลได้ถึงขนาดนี้

GD: เดี๋ยวนะฮะ ผมยังไม่คิดว่าผมได้เจอโอกาสทองนั้นแล้วนะครับ (หัวเราะ)

10: ไม่จริงมั้งครับ? (หัวเราะ)
GD: นี่อาจจะฟังดูหัวสูงไปหน่อยนะครับแต่ผมยังไม่คิดว่าผมประสบความสำเร็จในทุกเรื่องหรอกครับ
ยังมีทางอีกยาวไกลจากนี้ไปและผมคิดว่าผมยังไม่ได้สร้างผลกระทบหรืออะไรที่มันจะคงอยู่ตลอดไปออกมาเลย
ซึ่งมันจะต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้นทีละตอนครับ
ซึ่งผมแน่ใจว่านี่ก็เป็นความฝันของสมาชิกทุกคนในวงบิกแบงด้วยนะครับ
ฝันว่าซักวันนึง จะมีโอกาสที่จะได้จารึกอะไรที่ยิ่งใหญ่มากจริงๆเอาไว้ (หัวเราะ)

credit to 10asia
Thai Translation by undercover @ VIPP @ choitopthailand

0 comments:

แสดงความคิดเห็น