Flag Counter

free counters

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] TOP: Vogue Korea : The lively man

Vogue Korea : May 2010
 
      ใบหน้าใสซื่อราวกับเด็กน้อยของเขาที่ทุกคนไม่เคยพบ จะถูกฉายให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องของแรกของเขา Into the Fire แร็ปเปอร์หนุ่มที่ทุกคนเคยเห็น การแร็ปฟรีสไตล์พร้อมกับรอยยิ้มกวนประสาทได้สร้างโอกาสให้เขาก้าวขึ้นไปอีกขั้นในวงการ นั่นคือการแสดงภาพยนตร์

     หมอกหนาจัดกำลังลอยตัวท่ามกลางป่าทึบเขียว เสียงกลองที่แว่วลอยมา ในโลกทีแปลกปลอมและโดดเดี่ยวเช่นนี้ สันติภาพที่บิดเบี้ยวได้พังลงแล้วที่นี่ 'ดังกระหน่ำ' นี่เป็นคำเดียวที่จะจำกัดความเสียงนี้ได้โดยออสการ์ ตัวละครในนิยายของ Gunter Gras. 'บทสนทนาของแมลงเม่าและหลอดไฟ' เป็นอาวุธเดียวที่ทำให้ความอ่อนแอสามารถต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายนี้ได้

     ท็อปยืนตีกลองอยู่เงียบๆ สันคางที่โดดเด่นออกมานั้นเผยชัดถึงความเป็นหนุ่ม รอยย่นระหว่างคิ้วที่แสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ริมฝีปากเม้มปิดแน่น แต่นัยน์ตาสีดำสนิทของเขายังคงไม่ปิดลงตามไป แววตาของเขาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเลียนแบบได้เลยจริงๆ

     "ผมคิดว่าเพราะความคิดของผมมันค่อนข้างซํบซ้อนกว่าคนอื่น ตอนที่เด็กคนอื่นกำลังวิ่งเล่นในสนาม ผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองที่บ้าน ตั้งแต่เด็กแล้วครับ การแต่งเพลงและการแร็ปเป็นของเล่นชิ้นเดียวของผม ความอ้างว้างและเด็ดเดี่ยวกลายมาเป็นเหมือนพลังให้กับผมที่สะสมเอาไว้เรื่อยๆ และมันจะออกมาในเวลาที่ผมต้องการจะใช้ ตอนที่ผมขึ้นไปอยู่บนเวทีครั้งแรก ผมเห็นอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมีตรงนั้น แต่ก็ไม่เคยชะล่าใจนะครับ ผมไม่เคยใช้มันไปกับสิ่งไร้สาระ"

     สำหรับเขา เหตุผลที่ท็อปเลือก Into the Fire เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขานั้นง่ายมาก
     "มันเป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอย่างไม่มีเหตุผล ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีผมน่ะครับ"

     หลังจากได้เห็นท็อปในชุดสูท กำลังร้องเพลงเดี่ยวของเขาในคอนเสิร์ตเดี่ยวของบิ๊กแบง จางแทวอง ตัวแทนบริษัทก็ส่งบทให้เขาทันที มันเป็นบทหนังเรื่อง Into the Fire เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามที่น่าเศร้าจากโปฮัง (สิงหาคม 1950) ที่ถูกเล่าผ่านสายตาของเด็กหนุ่มอายุ 17 ภาพยนต์เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากจดหมายหนึ่งร้อยฉบับที่ถูกส่งมาจากนักเรียนทหาร ลีวูกึน ถึงแม่ของเขา ท็อปจะเล่นในบทของโอจางบอม นักเรียนทหารผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องนี้

     "แม่ครับ ผมฆ่าคน" เขาเริ่มจดหมาย

     "ผมคิดไม่ออกเลย อะไรบางอย่างแบบนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แฟนๆที่เด็กกว่าผมเข้าใจแค่ว่าเป็นบทของนักเรียนทหารที่เป็นส่วนหนึ่งของของเรื่องนี้เท่านั้น ผมอยากจะบอกความจริงของประวัติศาสตร์ เหตุผลที่ผมแร็ปและทำเพลงฮิพฮอพมาตั้งแต่เด็ก ก็เพราะว่าผมอยากจะบอกเรื่องราวของผม ในยุคที่นักร้องไอดอลมีมากมายแบบนี้ ผมควรทำบางอย่างที่มีความหมายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา" ท็อปเขียนลงไปในกระดาษ ราวกับว่าเขาเป็นโอจางบอมในยุคปัจจุบัน

     การกลายมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่ได้รับเงินทองและชื่อเสียงมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย มีความหมายอะไรกับเขา?

     "นี่เป็นเรื่องที่ผมคิดบ่อยมากนะ ก็เหมือนกับทุกๆคน ผมไม่คิดว่าทุกคนจะมีคำตอบให้กับชีวิตของตัวเองได้ทั้งหมดนะ ผมไม่เคยพอใจเลยนะครับ ในขณะที่ผู้คนรอบตัวผมกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที แทนที่จะสนุกกับพวกเขา ผมกลับรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมอยากเพอร์เฟคให้มากกว่านี้เพื่อพวกเขาครับ"

     ระดับของความรับผิดชอบของท็อปที่มีแต่ผู้คนรอบๆตัวสามารถเทียบได้กับนักเรียนทหารได้มั้ย ในฐานะท็อป คนธรรมดาคนนึง ไม่ใช่ดารา?

     "ผมไม่รู้ ผมไม่เคยลองคิดดูในฐานะท็อปน่ะครับ เพราะงั้นผมเลยไม่รู้ ผมคิดว่าผมเป็นคนธรรมดาที่มีความรับผิดชอบคนนึง แต่ผมไม่อยากพูดแบบนั้นนะครับ คือเหมือนมันจะเป็นการขุมหลุมฝังตัวเองน่ะ (หัวเราะ)"

     ท็อปเริ่มใช้ชีวิตอยู่ที่ Hapchun อยู่ 6 เดือนหลังจากปิดกองถ่ายไอริส โรงแรมโทรมๆกลายเป็นบ้านของเขา เมืองเล็กๆในชานเมืองมีเพียงร้านอาหารไม่กี่แห่ง สตูมันฝรั่ง อาหารจีน และบางครั้งก็เนื้อสัตว์ เป็นสิ่งที่เขาได้กิน มันแตกต่างจากชีวิตประจำวันของไอดอลทั่วไปอย่างสิ้นเชิง "ประมาณ 6 โมงเย็น หลังจากถ่ายทำเสร็จ ผมจะกลับมาที่ห้องเพื่ออ่านบท รู้สึกเหงาแล้วก็เริ่มจมอยู่กับความคิด มีบางที่จะหลับไปทั้งๆที่กำลังดื่มไวน์อยู่"

     บางครั้งก็รู้สึกกลัวจนเก็บไปฝันเมื่อเห็นแชซึงวอน ผู้รับบทเป็นฝ่ายเกาหลีเหนือปาร์คมูรยอง ช่วงนั้นนอกจากคอนเสิร์ตในญี่ปุ่นแล้ว ท็อปไม่มีโอกาสได้ออกสู่สาธารณชนเลย มีเพียงแต่โอจางบอมที่ใช้ชีวิตอยู่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าบทบาทนี้ไม่มีใครเล่นได้แล้วนอกจากเขา ท่านประธานยางฮยอนซอกเคารพในการตัดสินใจของเขาอย่างเต็มที่กับการรับบทบาทนี้

     ในจุดๆหนึ่ง ท็อปใช้ชีวิตตามความตั้งใจของเขาเอง เขารู้ดีว่าจะไม่มีทางจะไปเป็นคนจำพวกเดินทางตามคำสั่งของใคร เพื่อที่จะได้ฟังเพลงฮิพฮอพและซื้อเสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ท็อปเคยทำงานพิเศษอยู่ในร้านเสื้อผ้าในย่านลีแทวอนอย่างลับๆ โดยที่ที่บ้านไม่รู้ ภายใต้ชื่อในวงการว่า เทมโป เขาเริ่มไปที่คลับใต้ดินในฮงแด ที่ที่จะรู้จักเขาเป็นอย่างดี จนอายุประมาณ 20 "ผมรู้สึกประมาณว่า 'ผมต้องลองทำทุกๆอย่าง' นั่นเป็นความคิดลึกๆของผม ผมใช้ชีวิตแบบโลดโผนมาก แต่ก็ยังไม่เคยทำอะไรแย่ๆนะ" ท็อปได้ใส่เสื้อผ้ามากมายแต่สุดท้ายแล้วเขาก็เริ่มเบื่อ

     จะมีสักกี่คนที่จะสามารถได้ใส่เสื้อผ้าของ John Galliano และ Tom Brown ตอนอายุ 24 ในวิธีเฉพาะของตัวเองแบบนี้?

     ท็อปไม่เคยไปออดิชั่นเพื่อเป็นนักร้อง ท่านประธานยางโทรหาท็อปหลังจากที่จียงได้ให้เขาลองฟังเพลงของศิลปินที่ชื่อเทมโป จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ค่ายวายจีก็ยังไม่เคยโทรหาใครก่อนโดยปราศจากการผ่านหลายขั้นหลายตอนของการตัดสินแบบนั้น ระหว่างการเปิดตัวของบิ๊กแบง ช่วงเวลาในการฝึกซ้อมของเขาสั้นมากเมื่อเทียบกับสมาชิกคนอื่น

     "ผมเคยพลาดอะไรมั้ยเหรอ? ไม่นะครับ จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนที่มีนิสัยที่ชอบทำอะไรร้ายๆหรือไม่ดีนะ แต่ถ้ามีบางอย่างที่ผมอยากได้จริงๆ ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดที่จะได้มันมาไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง โอกาสมากมายเกิดขึ้นกับผมราวกับเป็นโชคชะตา แต่แน่นอน ผมก็ต้องพยายามอย่างหนักด้วย และทำให้ดีที่สุดเสมอ"

     เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องการแสดงจนได้มีโอกาสเข้าร่วมในมิวสิควิดีโอเพลง Hello ของ Red Rock ในปี 2007 ในเอ็มวีนั้น ท็อปต้องรับบทเป็นผู้ชายที่ถูกทำให้คลั่งเพราะความรัก และต้องโกนหัวด้วย ในปีเดียวกัน เขาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับบทของเด็กแหกกฎในโรงเรียนม.ปลายในละครเรื่อง I am Sam และหนังเรื่อง 19 กับ Iris ก็ตามมาหลังจากนั้น

     "ผมไม่เคยเรียนการแสดงอย่างจริงๆจังๆนะครับ ตอนเริ่มต้น มีการจ้างครูมาสอนแอคติ้งผมด้วยแต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ พวกเขาบอกว่าการพูดและน้ำเสียงของผมมัน...คือเสียงของผมมันแตกต่างจากนักแสดงคนอื่นมากเกินไป จริงๆแล้วเรื่องนี้ แม้แต่เปรียบเทียบกับแร็ปเปอร์คนอื่น ผมก็ค่อนข้างต่างกับคนอื่น"

     นักแสดงที่ดีจะไม่ลืมที่จะช่วยเชียร์กันและกันในวันแถลงข่าว ชาซึงวอนพูดว่า "ซึงฮยอนมีหน้าตาอย่างที่ผมอยากจะมีมากตอนอายุ 20" คิมซึงวูพูดว่า "ผมกำลังคิดว่าผมจะแสดงได้เหมือนเขาไหมตอนอายุเท่านั้นน่ะ เขาควรค่าแก่การรอคอยนะ" และควอนซางวูก็เสริมอย่างภูมิใจ "เขาแสดงได้ดี ไม่ใช่แค่ฉากแอคชั่น แต่ฉากที่ต้องใช้อารมณ์ก็ด้วย"

     คำชมดีๆมากมายถูกส่งให้ท็อป ผู้ที่มีฉากที่ต้องถ่ายมากที่สุดคนหนึ่ง เซนส์ของจังหวะที่แร็ปเปอร์มีช่วยเขาในการพูดภาษาท้องถิ่น ในตอนแรกๆของการถ่ายทำ เขาต้องรับกับศึกหนักเพราะนิสัยของเขาจะชอบเน้นท้ายประโยคให้คล้องจองกัน แต่พอเมื่อเขาได้ฟังมันครั้งเดียว เขาก็สามารถเลียนแบบสำเนียงได้ทันที

     "ผมอยากทำให้ทุกคนแปลกใจกับสำเนียงของผมครับ แต่เพราะเรื่องนี้ ผมเลยไม่อยากได้ยินว่าท็อปบิ๊กแบงจะเปลี่ยนไปเป็นนักแสดงแล้ว ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมจะเป็นยังไง แต่คำพูดที่ว่า 'จะเปลี่ยนไป' ก็อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้"

     แม้แต่ตอนที่เขาแสดง ชื่อของเขาก็ยังใช้ว่า TOP ไม่ใช่ชื่อจริง ชเวซึงฮยอน สำหรับท็อปแล้ว TOP ไม่ใช่แค่ชื่อบนเวที แต่เป็นบทบาทที่เขาฝันมาตลอด เขาสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาจากการกระทำของเขา อารมณ์บนสีหน้าของเขา หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของมือทั้งสองข้าง

     ขณะที่ผู้ชายคนนี้ที่แร็ปบนเวทีด้วยความมั่นใจ เผชิญหน้ากับกล้องราวกับคุยกับเพื่อนซี้ แต่เชื่อไหมว่าเขาไม่กล้าในเรื่องง่ายๆ อย่างเช่นการมองตาคนที่เขากำลังคุยด้วย

     และนี่ก็เป็นอีกด้านของท็อป แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่านี่คือตัวเขาจริงๆรึเปล่า เมื่อต้องจับจ้องมาที่กล้อง แววตาของท็อปมีน้ำตาคลอหน่วย และที่สุดมันก็ไหลลงมา ผู้ชายที่มีชีวิตชีวา ผู้ที่เมื่อวินาทีที่แล้วยังทำให้ผู้คนหัวเราะไปกับการเลียนแบบ Mickey Rourke ใน The Wrestle อย่างเขาหาไม่ได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มที่กำลังแบกลูกกระสุนเปล่าและปืนยาวในตอนนี้คือโอจางบอม ทุกๆคนมองเขาพร้อมกับต้องกลั้นหายใจ ได้ยินเพียงเสียงเครื่องสร้างหมอกที่กำลังเผาไหม้เมล็ดกาแฟ ทั้งป่าถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟขึ้นมาทันใด

     ช่างถ่ายรูป ฮงจางฮยอนเก็บภาพด้วยกล้อง Hasselblad ในยุค 70's ที่ปัจจุบันไม่มีผลิตแล้ว เขาถ่ายท็อปมาประมาณ 20 ครั้งแล้วตั้งแต่ครั้งโปรโมตเพลง 'Lie' ของบิ๊กแบง ท็อปแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าออกมาตลอดการถ่ายแบบ หลังจากเห็นเขาในวันนี้ มันดูจะชัดเจนเหลือเกินที่จะเห็นว่าเขาเริ่มมีรัศมีของนักแสดงแล้ว มันเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกับตอนที่เขาอยู่กับสมาชิกอีกสี่คน ท็อปแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของการแสดงอารมณ์ ทั้งภาพลักษณ์ ตัณหา ความกลัว และอารมณ์ของคนที่เกือบหมดความไว้ใจ ทุกอย่างนี้ทำลายใบหน้าของเด็กชายที่ใสซื่อให้หายไปอย่างสิ้นเชิง ในสงครามบ้าๆของพวกผู้ใหญ่ เขาเป็นสัญลักษณ์ของความไร้เดียงสาสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในสังคม

     "ผมเป็นเด็กที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองตัวเองโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ ในยุคนี้ นี่ไม่ได้แปลว่าผมไม่เคยมีความสุข แต่แค่มักคิดโอนเอียงไปทางด้านมืดนิดหน่อยน่ะครับ แต่สิ่งแรกที่ผมคิดได้หลังจากอ่านบทเรื่องนี้คือ เราโชคดีขนาดไหนที่ไม่ได้เกิดในยุคสมัยนั้น ผมแค่หวังว่าเด็กรุ่นใหม่ในทุกวันนี้จะตระหนักถึงความโชคดีที่พวกเราเป็นอยู่นี้ได้เช่นกันครับ"

     วันที่ 11 สิงหาคม 1950 นักเรียนทหาร ลีวูกึน ถูกพบศพในสนามหน้าโรงเรียนหญิงล้วนโปฮังระหว่างสงครามที่บ้าคลั่งใน Dabu-gong ทั้งหน่วยทหารเหลือรอดชีวิตเพียง 78 คน นี่คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ ตอนนี้ ท่ามกลางป่าเขาที่เงียบสงัดและสงบสุข ท็อปสวมใส่เสื้อเกราะของเขาด้วยท่าทางที่สมบูรณ์แบบ และพร้อมที่จะให้ทุกคน ...'ฟังเรื่องราวของฉัน'
    

Source: Lee MiHeh @vogue.com
Translation:Julez@kpoplive.com
Translated to Thai by pphelpz.exteen.com / @pphelpz

0 comments:

แสดงความคิดเห็น