Flag Counter

free counters

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] ความคิดในหัวเยือกเย็น ทว่าใจเร่าร้อน


Zero pretensions. 100% Real.

 
       ....ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเทือกเขา... 
 
     TaeYang รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ 'ไม่ต้องรีบเร่งแต่ก็อย่าลังเลที่จะทำมัน' การแสดงอย่างโดดเดี่ยวของเขานั้นได้พูดแบบนั้นกับเรา นี่เป็นการสัมภาษณ์ของ A GQ กับ 'แทยัง' ไอดอลที่มีทั้งความจริงใจและสัญชาตญาณในตัว
     'Teayang' สำหรับเรา เป็นไอดอลที่ไม่ธรรมดาเลย เขาน่าประทับใจมาก และพร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับอัลบั้ม 'Real' สิ่งที่จำกัดความถึงตัวเขาเอง ตอนที่แทยังถามเราว่า 'ผมแค่เป็นตัวของตัวเองใช่มั้ยครับ?' เรารับรู้ได้ว่ามันเป็นความรู้สึกจากใจของเขาจริงๆ ไอดอลที่ไหนเค้าจะมาถามคำถามนี้กัน? 
     เครื่องดื่มสักหน่อยมั้ย? เบียร์เป็นไง?
  
     "ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์จริงๆครับ"


     ชอบหน้าหนาวรึเปล่า? อย่างอากาศอย่างวันนี้

     "ชอบครับ เพราะผมจะได้ใส่เสื้อผ้าหลายๆชั้น แล้วเพลงโปรดของผมเกือบทั้งหมดก็มักจะเหมาะกับหน้านี้นะ ผมชอบความรู้สึกที่อบอุ่นน่ะครับ สงบเงียบ เช่นเพลงจังหวะกลางๆแบบนี้ ช่วงนี้ผมฟังเพลง Slow Motion ของ Karina บ่อยมาก แล้วก็เพลงเก่าๆของ Michael Jackson"

     จำได้มั้ย หลังจากที่เราเคยสัมภาษณ์คุณไปในฐานะ 'Men of the Year' ไปเมื่อปีที่แล้ว คุณสัญญาว่าจะกลับมาพบกับเราอีกครั้งถ้าคุณได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ?

     "(หัวเราะ) จริงๆ ผมอยากได้ประสบการณ์ใหม่ๆนะครับในปี 2009 แต่รู้สึกว่าผมจะไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลาน่ะครับ"

     ไม่มีเวลางั้นเหรอ คุณยุ่งอยู่กับอะไรล่ะ?

     "ตอบตามตรงเลยก็คือผมใช้เวลาไป 6 เดือนเต็มอยู่ในสตูดิโอกับพี่เท็ดดี้ครับ แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำเพลงของผมก็ตาม แต่ผมก็อยากจะเห็นพี่เท็ดดี้ตอนแต่งเนื้อเพลงหรือโปรดิ๊วซ์เพลงแล้วเรียนรู้หลายๆอย่างจากเขาน่ะครับ พวกเราแค่ใช้เวลาไปกับการฟังเพลงมากมายด้วยกัน แน่นอนว่ามันยิ่งทำให้ผมอยากจะทำอัลบั้มเต็มดีๆสักอัลบั้มนึงขึ้นมา เราแท็กมือกันหลังจากที่ได้ร่วมมือกันทำอะไรเจ๋งๆขึ้นมาสักอย่าง ยังไงดี มันเป็นความสุขเล็กๆ ตอนที่พวกเราสร้างเพลงดีๆขึ้นมาแล้วฟังมันด้วยกัน"

     แน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องแตกต่างจากตอนทำ 'Look at only me' นี่เป็นการพูดถึงอัลบั้มเต็มครั้งแรกของคุณ เราเชื่อว่าคุณต้องได้รับแรงกดดันมากแน่ๆ ผู้คนคาดหวังในตัวคุณมากเลยนะ

     "อันที่จริงแรงกดดันเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ตอนนี้ผมรู้สึกกดดันไม่มากแล้วครับ แต่ช่วงที่ซิงเกิ้ลออกมันกังวลมากจริงๆ ที่จริงการสัมภาษณ์ครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว แต่ผมเลื่อนมันไปก่อนเพราะช่วงนั้นมันเครียดน่ะครับ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ผมคิดว่าความรู้สึกแย่ๆอาจจะทำให้ตอบคำถามไม่ค่อยดีเท่าไร"

     คุณนี่เป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิสขึ้นสมองเลยนี่นา เข้าขั้นบ้าเลยนะ โอเค ตอนนี้ บอกเรามาดีกว่าว่าคุณมีส่วนร่วมอะไรบ้างในอัลบั้มเต็มอัลบั้มนี้ สิ่งที่คุณทำอยู่ทำให้พวกเราสับสนนะ คุณปล่อยซิงเกิ้ลออกมา แล้วก็มาพูดว่า 'นี่ไม่ใช่เพลงโปรโมตนะครับ เป็นแค่เพลงโบนัส ผมไม่ได้คิดจะโปรโมตเพลงเหล่านี้ครับ'  จากสายตาของสาธารณชนอย่างเรา ทุกคนมีอาการแบบว่า 'หือ?'

     "ครับ ผมรู้ว่าคุณหมายถึงอะไรนะ ผมพูดตรงๆว่าผมไม่ได้หวังว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้เลยครับ แผนที่เราวางเอาไว้ไม่ใช่แบบนี้ เราคิดกันไว้ว่าจะมีกิจกรรมโปรโมตโซโล่ไปเรื่อยๆ จนกว่าอัลบั้มเต็มจะออกมา แต่มันมีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะมากมายจริงๆ รวมถึงงานของบิ๊กแบงด้วย ทุกอย่างเลยต้องพักไว้"

     คุณหมายถึงกิจกรรมที่ญี่ปุ่น? บางคนเรียกมันว่าเป็นงานพาร์ททาร์มด้วยซ้ำ

     "ถึงยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องทำครับ"

     คุณกำลังจะพูดว่า ไม่มีทางหรอกที่คุณจะสามารถโฟกัสเวลาและพลังทั้งหมดไปที่สิ่งที่คุณอยากจะทำ ใช่มั้ย?

     "ใช่ มันถึงกลายเป็นแบบนี้ไง แน่นอนว่าผมต้องการจะทำให้มันดีแล้วก็น่าประทับใจ แต่..."

     แต่แทนที่ทุกคนจะสนใจและคาดหวังกับมันมากขึ้น การปล่อยซิงเกิ้ล Where U at กับ Wedding dress กลับทำให้ผู้คนรู้สึกว่านี่เป็นแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เฮ้ นี่พวกเราทำให้ คุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะกล่าวถึงเรื่องที่พูดไปก่อนหน้านี้รึเปล่า?

     "ไม่หรอกครับ ผมแค่รู้สึกแย่ๆกับตัวเอง"

     มันยังไม่สายเกินไปหรอกนะ ที่คุณจะลองหยอดความลับของอัลบั้มเต็มออกมาตอนนี้

     "พูดแบบนี้ผมก็หมดทางเลือกน่ะสิ แต่รับรองได้ว่ามันจะเป็นอัลบั้มที่ดีมากแน่ๆครับ อย่างที่คุณเห็นจากซิงเกิ้ลทั้งสองเพลงนั้น เพลงทั้งหมดในอัลบั้มได้พัฒนาขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับเพลงที่ผมเคยทำมา มันจะแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเลยครับ"

     แตกต่างอย่างสิ้นเชิง?

     "ผมอยากที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าขึ้นน่ะครับ ไม่ได้หมายความว่าอยากเปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง ผมหมายถึงอัลบั้มใหม่ของผมนี้จะต้องเป็นอะไรที่ดีกว่าที่ผมวางแผนหรือวาดฝันเอาไว้"

     แล้วเมื่อไรมันจะออกมาให้พวกเราได้เห็นสักทีล่ะ

     "ผมอยากจะให้ออกมาภายในต้นปีนี้ แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำมากมายในตารางงานน่ะครับ เพราะฉะนั้น..."

     ทางบริษัทไม่รับรู้ถึงสิ่งที่คุณต้องการเลยว่างั้น

     "ผมไม่รู้ (หัวเราะ) อย่าพูดแบบนั้น ทางบริษัทรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร แต่ทางบริษัทเองก็มีความคิดมากมายเหมือนกันในใจเขาอยู่แล้วเหมือนกัน ตอนที่พวกเขาจัดการตารางงานและกิจกรรมของผม"

     ทั้งเรื่องที่วุ่นวายแล้วก็สถานการณ์ที่น่าสับสนแบบนี้ คุณอาจจะกำลังภาวนาให้ผลลัพธ์ทั้งหมดออกมาเป็นบวกที่สามารถทำให้คุณไปได้ไกลมากขึ้นรึเปล่า

    "ผมก็หวังว่าแบบนั้นแหละครับ"

     ตลอดปีที่ผ่านมา คุณคิดว่าคุณโตขึ้นยังไงบ้าง?

     "ผมรู้สึกเหมือนกับได้ไปช่วงวัยรุ่นอีกครั้งมากกว่า เต็มไปด้วยความตึงเครียดและวิตกจริต"

     แล้วคุณบรรเทาความความเครียดนั้นด้วยวิธีไหน?

     "เดี๋ยวมันก็หายไปเองครับ การคิดเกี่ยวกับดนตรีดีๆและความจริงที่ว่าผมได้รับผลลัพธ์อย่างที่ผมต้องการแล้ว มันก็ทำให้ความรู้สึกแย่ๆตรงนั้นหายไปได้นะ บางครั้งผมก็ใช้ดนตรีเอาชนะความคิดเชิงลบตรงนี้น่ะครับ"

     และ Where U At กับ Wedding Dress ก็ดีพอที่จะแสดงถึงการทำงานหนักและความพยายามของคุณได้เยี่ยมทีเดียวนะ ยังไงก็ตาม มันยังทำให้เราแปลกใจอีกว่าสรุปแล้วคุณเน้นไปที่ด้านของภาพลักษณ์มากกว่าตอน 'Look at only me' รึเปล่า มุมนึงอาจจะมองได้ว่า มันเป็นการทำให้ความสำเร็จนั้นสมบูรณ์มากขึ้น แต่ในทางกลับกันมันรู้สึกเหมือนยังขาดๆอะไรไปสักอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมากลับดูเหมือนคุณโฟกัสไปที่ดนตรีแทนซะอย่างนั้น

     "ผมคิดว่าผมรู้นะว่าคุณกำลังพูดอะไร ผมอยากให้ใครสักคนมามาบอกผมเกี่ยวกับเรื่องนั้นเหมือนกัน"

     หลังจากนั้นการโปรโมตเป็นยังไงบ้าง หมายถึง เรื่องที่คุณไม่เคยมีแฟนสาว เราเห็นมันจากสื่อต่างๆ ว่า 'เพลงนี้นำมาจากชีวิตจริงของแทยังที่เขายังไม่เคยมีแฟนเลย' มันดูเหมือนเด็กชะมัดเลยนะ คุณไม่เห็นด้วยใช่มั้ย?

     "ผมรู้สึกแบบนั้นแหละครับ"

     ไม่ว่าจะเรื่องเดทกับสาวหรือร้องเพลง คุณควรจะให้เรื่องแบบนั้นออกมาอย่างธรรมชาติสิ แต่ผู้ชายอ่อนหัดอย่างในเอ็มวีของคุณทำไม่ได้หรอก

     "ที่คุณพูดก็ถูก ผมหวังแค่ว่าจะได้เจอผู้หญิงสักคนที่ผมชอบ และรู้สึกตกหลุมรักเธอสักที"

     หมายถึงว่าคุณจะใช้ทั้งชีวิตในการตามหาผู้หญิงที่ว่านั่นแค่คนเดียวเลยเหรอ?

     "ใช่ครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ผมไม่มีความสุขเลยกับการใช้เรื่องแบบนั้นมาช่วยโปรโมต มันทำให้ภาพลักษณ์ของ 'เด็กผู้ชายที่ไม่เคยมีความรัก' ติดตัวผมไปตลอดเวลา ผมเกลียดมากเวลาที่พวกเขาพยายามจะให้ผมไปอยู่ในกล่องๆนึงแล้วก็นำเสนอภาพลักษณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเอง ราวกับว่ามันเป็นตัวตนของผม"

     เราคิดว่านี่เป็นเวลาที่สำคัญมากสำหรับคุณเลยนะ มันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลย คุณต้องลองดูสักครั้ง ลองเจ็บปวดดูจริงๆสักครั้ง นั่นเป็นสิ่งจำเป็นมาก

     "ผมมั่นใจในอัลบั้มของผมนะครับ ผมใช้เวลาในการทำมันนานมาก แล้วก็ทุ่มเททั้งหัวใจแล้วก็จิตวิญญาณลงไปในนั้นด้วย ผมไม่ห่วงเรื่องเพลงเลย แต่กลับไม่มั่นใจในด้านอื่นมากกว่า ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดคือ กำหนดการปล่อยเพลงที่เหลือยังไม่แน่นอนเลยครับ"

     เรารู้ว่าคุณกังวลหลายเรื่อง แต่คุณอาจต้องมองจากมุมที่ต่างออกไปบ้าง หมายถึง มีคนมากมายพยายามจนสายตัวแทบขาดแต่ก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเปล่งประกายสักที เทียบกันแล้วคุณนี่โชคดีมากเลยนะ!

     "คุณพูดถูก ผมควรจะจำคำนี้เอาไว้"

     พูดถึงสไตล์ของเพลงที่คุณทำ คุณคิดว่าวงการเพลงในเกาหลีปัจจุบันเป็นยังไง? เราไม่ได้เห็นคุณบ่อยๆในรายการ Music Show แต่แล้วอยู่ๆ ก็ได้ยินมาว่าคุณจะไปออกรายการ Strong Heart มันทำให้เรานึกถึงเนื้อเพลงของคุณโจยองพิลทันทีเลย "ทำไมต้องทำให้ฉันถอนหายใจ..."

     "มันยากในหลายๆเรื่องครับ ไม่ว่าจะการแสดงบนเวทีหรือมิวสิคโปรแกรม มันไม่มีกำหนดการชัดเจน คุณทำอะไรไม่ได้มากหรอกถ้าคุณเลือกที่จะทำดนตรีอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะผมจะไปแสดงแค่สัปดาห์ละครั้งเหมือนกับพิธีทางศาสนาประจำสัปดาห์น่ะครับ"

     เวลาก็เป็นสิ่งสำคัญนะเนี่ย และนักดนตรีก็ไม่สามารถไปได้ไกลได้โดยแค่การทำเพลงหรือการแสดงบนเวทีที่ดี คุณเป็นพวกเพอร์เฟคชั่นนิส มันไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้นใช่มั้ย?

     "ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองได้ถูกกระตุ้นและมีโอกาสดีๆกว่าคนอื่นจากการที่ผมได้อยู่ในที่ที่มีนักดนตรีดีๆมากมายอยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ศิลปินเล็กๆ เวลานึกถึงเรื่องของ Michael Jackson เขาทำให้ผมพูดไม่ออกเลย พอมาคิดดูแล้ว มันเป็นเหตุผลว่าทำไมผมรู้สึกเศร้ามาก แต่หัวใจก็ยังฟูฟ่องไปด้วยความสุขในเวลาเดียวกันในรอบปีที่ผ่านมา การคิดถึงผู้ชายคนนึงที่มีเคยชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกันกับผม และผมก็เคยมีชีวิตอยู่ในเวลาเดียวกันกับเขา แม้ว่าผมจะรู้ว่าผมไม่มีทางจะได้พบเขาอีกแล้ว ผมก็ยังรู้สึกมีความสุข เพราะว่าผมยังฟังเพลงของเขาได้ และยังดูการแสดงของเขาได้"

     เยี่ยมไปเลย เราเข้าใจคุณนะ เพราะเรารู้ว่าคุณจะไม่มีทางใช้ความเคารพที่คุณมีให้เค้าในการทำให้คนสนใจ หรือเต้นเลียนแบบ Michael Jackson

     "ใช่ครับ มันไม่ถูกต้องเลยกับการทำแบบนั้น"

     แล้วคุณคิดว่าหลังจากนี้บิ๊กแบงจะทำอะไรต่อไป? สิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงดนตรีปัจจุบันมันเร็วมากซะจนดูเหมือนว่าวันบิ๊กแบงได้เดบิ๊วผ่านมานานเกินจริง แค่ 3 ปีเองไม่ใช่เหรอ?

     "ภาพลักษณ์ของบิ๊กแบงในฐานะบอยแบนด์ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว และผมคิดว่าพวกเราก็คงเลือกทำเพลงที่ฟังง่ายๆอย่างเพลงป๊อปทั่วไป แต่ในความเห็นของผม ผมคิดว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นน่ะครับ เราได้รับความรักจากผู้คนมากมายพอแล้ว และมันจะไร้ความหมายมากถ้าเรายังคงต้องการชื่อเสียงอยู่อีก ผมว่าเราควรใช้ความนิยมตรงนี้เป็นบันได เป็นแรงกดดันที่จะพัฒนาดนตรีของพวกเราต่อไป ผมมั่นใจแบบนั้นครับ"

     มันรู้สึกยังไงที่ต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น ต้องแตกต่างจากการทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยวแน่ๆล่ะ ใช่มั้ย แล้วมันมีผลต่อคุณยังไงบ้าง?

     "อย่างแรกเลยคือ ผมชอบการทำงานที่เป็นระบบที่ญี่ปุ่นมาก พวกเขารู้ว่าการแสดงของศิลปินแต่คนละควรจะทำยังไง และเวทีแบบไหนที่ศิลปินต้องการ แต่ว่าการทำงานแบบนี้ก็มีข้อเสียด้วย ความจริงที่ว่ามันค่อนข้างเข้มงวดเกินไปในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าผมต้องการที่จะบินไปมาทำงานระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลี ญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะวางรากฐานของบิ๊กแบงในญี่ปุ่นครับ"

     การที่เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวงของคุณอย่าง G-Dragon ประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินเดี่ยวเป็นอย่างมากแบบนี้ มันทำให้คุณรู้สึกถูกกระตุ้นมากขึ้นมั้ย

     "ผมไม่รู้ว่าจะพูดยังไง แม้ว่าผมกับจียงจะเป็นเพื่อนสนิทกันแต่พวกเราแตกต่างกันมากในเรื่องของดนตรีที่เราแต่ละคนชอบ ผมสนับสนุนเขาเท่าที่จะทำได้จริงๆ และผมก็ไม่เคยได้รับอิทธิพลหรือแรงกดดันอะไรจากเขาเท่าไหร่"

     เหนือสิ่งอื่นใด เราขอให้คุณสามารถร้องเพลงได้ดีกว่านี้ แน่นอนว่าคุณทำให้ผู้คนพูดว่า "เขาร้องเพลงโดยไม่ผิดจังหวะได้ยังไงทั้งๆที่เต้นหนักขนาดนั้น?" ไม่ก็ "มันเป็นการเต้นที่เจ๋งมาก!" แต่เรื่องเหล่านี้ก็ต้องมีเทคนิคทั้งนั้น แต่บอกตามตรงว่าเราก็อยากเห็นคุณร้องเพลงอย่างเดียวเหมือนกันนะ ลองคิดดูว่าแค่มีคุณบนเวที เล่นเปียโน ทุกคนก็อาจจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'พระเจ้า เขาเป็นนักร้องที่เยี่ยมไปเลย'

     "ผมอยากทำมาก อันที่จริงแล้วผมคิดเรื่องนั้นอยู่บ่อยๆนะ และรับร้องว่าคุณจะได้เห็นผมทำอะไรแบบนั้นในสักวัน สัญญาเลย"

     คุณว่าแฟนคลับของคุณเหมือนอะไร

     "เหมือนผมนี่แหละ แต่ไม่มากเท่าผม พวกเขาเหมือนผมตรงที่พวกเขาจะมีความคิดมากมายในใจ คิดมาก กังวลทุกอย่างไปล่วงหน้า"

     แล้วมันส่งผลยังไงกับคุณบ้าง

     "พวกเขาเป็นคนรักดนตรีอยู่แล้วก่อนที่จะมาเป็นแฟนคลับผม แล้วก็เป็นคนที่ดึงผมไว้ก่อนจะไปในทางที่ผิด บางครั้งที่ผมอ่านความเห็นต่างๆของแฟนคลับในอินเตอร์เนต ตอนที่ผมรู้สึกไม่ไหวแล้วและมองไม่เห็นเป้าหมายของตัวเอง ผมอ่านสิ่งที่พวกเขาเขียนหรือดูวิดีโอต่างๆที่พวกเขาทำ แล้วก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือที่ที่ผมกำลังมุ่งหน้าไป อะไรเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ และอะไรที่ผมควรทำ"

     มันฟังดูเบสิคจริงๆให้ตาย แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งสำคัญก็คือคุณต้องทำหน้าที่ของคุณต่อไป

     "ใช่มั้ยครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากได้ยิน หน้าที่ของผมก็คือทำในส่วนของผมให้ดีที่สุด นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมอยากจะพูดจริงๆ ในระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ไม่ว่าผมจะมีอะไรอยู่ในใจ หรือไม่ว่าผมจะกังวลมากขนาดไหน แต่ผลสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเองครับ ผมต้องทำหน้าที่ของผม มันจะมีอะไรได้อีกล่ะ"

     อะไรเป็นแรงกระตุ้นคุณในทุกวันนี้

     "ทุกครั้งที่ผมไปที่ญี่ปุ่น ผมจะไล่ซื้อ DVD ของนักดนตรีที่ผมชอบทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ การดู DVD เหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกถูกกระตุ้นขึ้นมา เหมือนมีแรงบันดาลใจน่ะครับ แบบว่า อา ผมควรจะทำอะไรแบบนั้นบ้าง"

     คุณรู้มั้ยว่าตอนที่เราเห็นคุณในวิดีโอกับทรงผมเดิมๆ และก็หมวกแบบเดิมๆ น้ำตาเราแทบไหลแน่ะ

     "จริงเหรอ ทำไมล่ะ?"

     มันคงเหมือนอารมณ์ตอนที่คุณได้เจอใครบางคนทีคุณไว้ใจอีกครั้ง และก็พบว่าเขายังมุ่งมั่นกับเส้นทางของเขาอยู่ เขายังคงเป็นคนที่เรารู้จักและคุ้นเคย

     "ตามจริงแล้ว มันยากมากที่ผมจะรักษาสไตล์ตัวเองเอาไว้"

     หมายถึงผู้คนอยากให้คุณเปลี่ยน?

     "หลายคนครับ แต่ผมชอบเสื้อผ้าสบายๆที่ทำให้ง่ายต่อการร้องและเต้นมากกว่า ผมจะไม่ใส่อะไรที่มันหนักหรือรัดนู่นนี่ ที่ผมยังคงตัดผมทรงนี้อยู่ก็เพราะมันไม่ทำให้รำคาญตอนเต้นน่ะครับ"

     แต่คุณดูไม่เหมือนว่าคุณไม่สนใจในเสื้อผ้าหรือทรงผมเลยนะ คุณแค่อยากเลือกเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการใช่มั้ย

     "แน่นอน ผมจะเลือกเฉพาะสิ่งที่เข้ากับดนตรีของผมได้เท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสไตล์จะไปกับดนตรีได้ดีแค่ไหน มันจะมีสีสันที่ดูดีที่สุดกับดนตรีนั้นๆเสมอ"

     อะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณสูงกว่านี้สัก 10 เซนติเมตร?

     "(หัวเราะ) 10 เซนติเมตรดูจะมากไปนะครับ สัก 5 เซน? ไม่ดีกว่า ถ้าผมสูงกว่านี้จริงๆ ถ้าจะไม่สามารถเต้นได้เหมือนที่ทำอยู่หรอกครับ ผมไม่เคยต้องพยายามให้ตัวเองดูยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวเองเป็นบนเวที ผมว่าความสูงมันไม่ใช่ตัวกำหนดว่าคุณดีแค่ไหนบนเวที"

     แล้วช่วงนี้มีสถานที่ที่คุณอยากจะไปแสดงเป็นพิเศษมั้ย? มันไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ แค่ขอแค่มีเวที

     "ก่อนที่อากาศจะหนาวกว่านี้ ผมอยากจะไปร้องกับวงดีๆในเวทีริมถนนที่มีผู้คนมาฟังผมจริงๆ ผมใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะแสดงร่วมกับวงดนตรีสักครั้งครับ"

     เป็นความฝันที่ดีมากนะ แต่การที่ว่าคุณเป็นไอดอลที่มีชื่อเสียงแบบนี้มันทำให้ความฝันคุณเป็นจริงได้อยู่แล้ว

     "แค่ฝันเล็กๆของผมนะ ผมอยากจะสร้างวงดนตรีของตัวเองและร้องกับพวกเขาสักวันนึง ผมจะทำพยายามต่อไปเพื่อที่มันจะเป็นจริงครับ"

     ถ้าคุณทุ่มเททั้งหัวใจและจิตวิญญาณเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมาย ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก คุณอายุ 22 ใช่มั้ย และชีวิตมันก็ยาวนานกว่าที่คุณคิด ตอนนี้ก็แค่ผ่านมาครึ่งเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากจบการสัมภาษณ์นี่คุณจะไปทำอะไรต่อ?

     "ผมคงจะหาอะไรกินสักหน่อยแล้วก็กลับบ้าน"

     คุณไม่อยากดื่มจริงๆเหรอ? คุณอยากลองไปสูดอากาศคืนนี้มั้ย? เป็นไปได้ยังไงที่จะคุณจะกลับบ้านโดยไม่ดื่ม

     "(หัวเราะ) นี่ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่คุณพูดตอนที่สัมภาษณ์เมื่อปีที่แล้ว ที่ว่าผมควรจะให้ตัวเองเปิดหูเปิดตาและไปเจอสิ่งยั่วยวนบ้าง แต่ผมกลับคิดว่าผมอาจจะจบชีวิตลงเลยถ้าผมเริ่มดื่มและคบผู้หญิง เพราะผมต้องมัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้นแน่นอน"

     แล้วคุณไม่คิดว่าคุณอาจจะได้ความคิดใหม่ๆอย่างไม่น่าเชื่อระหว่างที่หลงทางก็ได้? ล้อเล่นน่า ยังไงคุณก็ไม่ได้ทำมันอยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องสนใจสิ่งที่เราพูดหรอก แต่มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าคุณเป็นเทวดาและเราเป็นปีศาจเลยแฮะ โอเค เรานอกเรื่องมานานแล้ว อยากให้คุณสัญญากับเราสักอย่าง

     "ผมจะกลับมาพร้อมกับอัลบั้มที่ดีเร็วๆนี้ และคอนเสิร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นี่ยังไม่พออีกเหรอ"

     คุณจะเปลี่ยนแปลงโลกได้มั้ยล่ะ

     "ผมไม่รู้"

     อะไรกัน แล้วจุดประสงค์ของทั้งหมดคืออะไร โลกก็ยังคงเหมือนเดิม ก็แค่เพลงใหม่ เขาร้องเพลง เพลงของเขาอยู่เป็นอันดับ 3 บ้าง อันดับ 2 บ้างในชาร์ต แล้วทั้งหมดนี่ทำไปเพื่ออะไร ชื่อเสียง?

     "(หัวเราะ) ผมเข้าใจครับ ผมมีความฝันที่ใหญ่กว่านี้ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหรือผมจะมีโอกาสทำมันสำเร็จรึเปล่า ถึงแม้ว่าชีวิตของผมมันอาจจะสั้นลงเพราะผมคิดมากเกินไปและต้องยอมแพ้กับหลายๆอย่างในชีวิต แต่ผมต้องการพิสูจน์ว่าผมสามารถทำมันได้ดีจริงๆเมื่อต้องถูกมองมาจากคนทั้งโลก ผมอยากให้ดนตรีที่ผมทำและจะทำในอนาคตนี้มีอิทธิพลกับคนทั่วโลก ความฝันของผมก็คือการเป็นนักดนตรี นักร้อง ที่จะสามารถทำแบบนั้นได้"

     แล้วคุณจะทำอะไรถ้าตอนนี้มีเปียโนมาวางอยู่ตรงหน้า

     "ผมอยากจะร้องและเล่นเพลง Slow Motion ที่พูดถึงไปตอนแรกครับ อยู่ๆผมก็รู้สึกกังวลกับคำตอบที่มีต่อคำถามในวันนี้ว่ามันอาจจะดูน่าเบื่อเกินไป เพราะว่าคุณถามคำถามที่เหมือนรู้ความกังวลของผมทั้งนั้นเลยนี่"

     คุณเครียดมากเลยนะ ตอนที่คุณกังวลแบบนี้อาจจะฟังดูน่าเบื่อก็ได้ งั้นพูดบางอย่างที่ดูน่าตื่นเต้นสักหน่อยสิ

     "(หัวเราะ) แล้วผมควรจะพูดอะไรอะ"

     คุณไม่ควรถามเราแบบนั้นสิ เด็กดี~

     "ผมไม่รู้นี่ เหมือนที่พูดไปแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเพิ่งผ่านวัยรุ่นมาเมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง แล้วก็ไม่ใช่เด็กดีด้วย ผมหยาบคายจริงๆ แถมทำตัวบ้าๆบอๆ และพูดสิ่งที่ไม่ค่อยดีบ่อยมาก"

     คุณกำลังพูดเรื่องอะไร หยาบคาย? คุณจะพูดว่าศิลปินคนนั้นหยาบคายและป่าเถื่อนได้ก็ต่อเมื่อเขาทำลายกระจกทุกบานที่บริษัทและโรงแรมไปแล้วเป็นอย่างน้อย

     "(หัวเราะ)"

     คำถามสุดท้ายแล้วนะ คุณเห็นอะไรเวลามองไปที่นอกหน้าต่างที่บ้าน

     "เห็น Bamsum(Bam Island) ครับ ตอนที่ผมตื่นนอนตอนเช้าและมองไปที่นอกหน้าต่าง ผมรู้สึกใจเย็นและรู้สึกดี ได้ยินว่าเขาไม่อนุญาติให้คนเข้าไปแต่บางทีผมก็ภาวนาว่าผมจะไปที่นั่นได้สักครั้ง"

     การที่นักข่าวพูดว่า 'เช้าวันนี้ นักร้องแทยังถูกพบว่ากำลังร้องเพลงอยู่ที่ Bamsum' มันฟังดูเป็นยังไง

     "(หัวเราะ) ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่ผมคิดบ่อยๆว่าผมอยากจะออกไปอยู่ที่ไหนไกลๆ การเดินทางที่ไม่มีเส้นทางและจุดหมาย"

     คุณทำได้แน่นอนล่ะ แต่ต้องหลังปล่อยอัลบั้มเต็มออกมานะ อ๊ะ ว่าแต่คุณตัดสินใจรึยังเรื่องชื่ออัลบั้มรึยัง

     "'Real' เป็นไง?"

     มันทำให้เราอยากจะปิดตาลง ...แต่ก็ยังคงเห็น คุณอยู่ตรงนี้จริงๆ 'Taeyang'
 
 
 
(c) GQ Korea
Translated by pgeorgie@AlwaysTaeYang
Translated to Thai by pphelpz.exteen.com / @pphelpz
Please credit Alway Taeyang when taking elsewhere!!!

Boys Don’t Cry.

by WooChul Jang, Editor

0 comments:

แสดงความคิดเห็น