Flag Counter

free counters

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] YB Man of the Year 2010 by GQ Korea





กำลังสบายๆหลังจากที่เสร็จสิ้นการถ่ายรูป และได้ถอดเสื้อโค้ทขนเฟอร์ที่หรูหราออกไปแล้ว แทยังก็เดินเรื่อยๆเข้ามาหาเรา
บรรณาธิการนิตยสารและช่างภาพกำลังอยู่ในระหว่างการพูดคุยกันถึงปัญหาการขนส่งของ
เนื่องจากสภาพของการจราจรในวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ต้นปาล์มที่ถูกดัดเป็นบอนไซที่จะต้องใช้ในการถ่ายภาพ เกือบจะมาถึงสตูดิโอไม่ทันเวลา
หลังจากนั่งฟังเงียบๆ แทยังก็บ่นพึมพำว่า " ทำไมพวกเค้าถึงก่อเรื่องแบบนี้" ซึ่งเค้าไม่เคยที่จะแสดงออกท่าทางแบบนี้มาก่อน

ในวงการเพลงกระแสหลักของเกาหลี ที่ซึ่ง ในตอนนี้ กลายเป็นเรื่องยากมากที่จะแบ่งแยกไอดอลออกจากเด็กธรรมดาๆ
แต่แทยังรั้นที่จะเดินไปในหนทางที่แตกต่างแทนที่จะยืนหยัดอยู่ในคอนเซ็บเดิมๆ
เค้ามีความเชื่อว่าเค้ากำลังทำในสิ่งที่เค้าต้องการ ไม่ใช่มัวแต่หลับหูหลับตาบ่นถึงสภาพของวงการในปัจจุบัน
เค้าแสดงให้เห็นว่าเค้าจะกำชัยชนะมาให้ได้ทั้งๆที่สภาพวงการอยู่ในช่วงอ่อนแอแบบนี้
แทนที่จะโวยวายออกมา เค้ามีความเป็นผู้ใหญ่ในฐานะนักร้อง จนในบางครั้งเค้าก็แค่นิ่งเฉยไว้จะดีกว่า

ยังไงก็ตาม โอกาสในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ถูกสร้างออกมาเพื่อ แสดงความยินดีและสรรเสริญเค้าโดยเฉพาะ
(เนื่องจากเป็นฉบับ man of the year) แทยังถึงกับถอนหายใจและกล่าวว่า
" อืม.....ผมเดาว่าพอมองย้อนกลับไปมันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องที่นำมาซึ่งความสุขและความเศร้าปนกันนะครับ
มันยอดเยี่ยมทีเดียว เหนือสิ่งอื่นใด ในที่สุดผมก็ได้ออกอัลบั้มที่ผมทำงานกับมันมาเป็นเวลายาวนาน
จำนวนของผู้ฟังเพลงและคนที่ชื่นชอบในอัลบั้มก็เพิ่มมากขึ้น การตอบรับจากเวทีในระดับสากลก็เป็นแรงสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่มาก
และผมก็มีคอนเสริต์เดี่ยวที่ผมต้องการมันมากจริงๆ แต่เมื่อ ม่านปิดลง เราต่างรู้สึกไปในทางเดียวกัน
นั่นคือ เรามีความสุขและเศร้าไปด้วย และคุณจะถูกทิ้งไว้กับภาพในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว
และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า "บางทีมันน่าจะดีกว่านะถ้าทำแบบนี้แทน" มันเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า อาจจะนะครับ???
เหมือนกับเป็นมุมมุมนึงที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม " เพราะผมอยู่ในตำแหน่งที่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่แหละครับ"

เค้าทิ้งร่องรอยไว้ในประโยคสุดท้าย ว่า ?สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด ตอนที่ผมออกอัลบั้มของผมคือ
อยากจะทำการแสดงสดให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเวทีเล็กหรือใหญ่ หรือจะแสดงบนถนน ก็ได้
ผมมักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะทำการแสดงในที่ที่หนึ่งและมีคนหลากหลายสลับกันมาดูและมาฟังเพลงของผม
แม้แต่ในตอนนี้ผมก็ยังฝัน แต่ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะสามารถแสดงในโรงละครเล็กๆได้
และจริงๆผมก็ไม่อยากจะมุ่งการโปรโมทหลักๆไปที่สื่อมวลชนอย่างเดียว (อยากให้มีการพูดปากต่อปากกันไปด้วย)
แต่ผมไม่สามารถที่จะเอาทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานกันหรือไม่ก็ทำไปทั้งสองอย่างพร้อมๆกันได้
ดังนั้นผมเลย ยังบอกว่าตัวเอง ยังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ชัดเจน ดังนั้นมันเลย มีความเศร้าเข้ามาด้วย
เพราะบางอย่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ "

ในปีนี้ แทยังครองเวทีด้วยเพลง I need a girl และ I'll be there
สองเพลงนี้แตกต่างกันราวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวเนียบกับแจ็คเก็ตหนังหนักๆ
เพลงนึงดูเรียบๆและสนุกๆ อีกเพลงดูดำมืดและหนักหน่วง และทั้งสองเพลงมีโฟกัสในโชว์ที่ต่างกันด้วย
ในตอนนี้ แทยังสามารถลบภาพเด็กๆที่ เต้นท่าที่น่าอายซ้ำๆๆกันบนเวทีและแปะป้าย คำว่า " การเต้น" ที่แท้จริงลงไปในตัวเอง
สิ่งที่เค้าทำเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ในการทำงานในวงการเพลงกระแสหลัก ในระบบ ที่ที่ทุกอย่างกลายเป็นประเด็นไปได้ทุกเรื่อง
แทยังเป็นชื่อที่ใช้เป็นทางลัดแห่งความสำเร็จ แต่ดูเหมือนเค้าก็พยายามที่จะลบบางสิ่งบางอย่างออกไปด้วยเช่นกัน

เมื่อความสนใจในตัวเค้ามาจากคำว่า " แทยังแห่งวงบิกแบง" แล้งงานเดี่ยวที่เค้าทำอยู่จะเรียกว่าเป็นงานเดี่ยวจริงๆได้ไม๊??
ความพยายามของเค้าที่จะทำการแสดงที่เป็นของเค้าเองขึ้นมาจริงๆๆ กลายเป็นสิ่งแรกเหนือสิ่งอื่นใดที่แทยังต้องเอาชนะ
แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เค้าถูกเชิญไปในรายการเพลงต่างๆ ทุกรายการเป็นต้องจบลงที่เรื่องราวต่างๆในอพาร์ตเม้นซ์ของบิกแบง

เค้ารู้สึกว่าเหงาบ้างไม๊??? " ถ้าผมไม่ได้เป็นสมาชิกวงบิกแบง
ผมคงไม่สามารถที่จะสร้างอาชีพของผมขึ้นมาท่ามกลางเสียงปรบมือแบบนี้หรอกครับ
ดังนั้นผมรู้สึกขอบคุณและสำนึกบุญคุณตรงนี้มาก ในขณะเดียวกัน
ในงานเดี่ยวของผม มันก็มีเรื่องมากมายที่ผมจะต้องเอาชนะให้ได้ด้วยตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ผมคิดว่าวิธีเดียวที่จะสื่อสารความจริงใจของผมออกไปบนเวทีได้ก็คือการร้องเพลงด้วยความจริงใจ
และนั่นเป็นความรู้สึกที่ผมมีเวลาที่ผมได้ดูการแสดงของศิลปินที่ผมเคารพนับถือครับ "



งานเดี่ยวของแทยังตลอดช่วงหน้าร้อนนี้ จบลงที่ คอนเสริต์ปิดอัลบั้ม สองรอบ
คอนเสริต์ในรอบสุดท้ายนั้นสร้างการอังกอร์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
นักดนตรีต่างออกจากสถานที่จัดงาน นักกีตาร์เก็บกีตาร์ลงกล่องแล้วแต่ถูกเรียกตัวกลับมาบนเวที
แทยังยืนนิ่งเงียบ แต่ดวงตาของเค้าเป็นประกายเต็มไปด้วยความรู้สึก
ในขณะที่ผู้คนก็กำลังตื่นเต้นและเต็มไปด้วยพลังคอยมองดู เวทีสุดท้ายของคนคนนึง
" มันเป็นเรื่องของโชคชะตา ที่ผมรู้สึกว่า ในชีวิตนี้ผมถูกกำหนดให้มาทำเพลงและมายืนอยู่บนเวทีแบบนี้
ผมรู้สึกได้ว่า การทำการแสดงครั้งนี้และเพลงที่ผมทำอยู่นี้มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แม้ว่าเพลงจะไม่ใช่เพลงของผมเอง แต่ผมหวังว่าพวกคุณจะฟังเพลงดีๆที่มีออกมาทั่วโลกและตามหาความสุขต่อไป
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมทำเพลงและทำการแสดงบนเวที ดังนั้นผมหวังจริงๆให้ทุกคนมีความสุข "
บรรยากาศในงานขึ้นสูงจุดสูงสุดเมื่อ แทยังหัวเราะ หลังจากที่เค้าลืมเนื้อเพลง Take it slow "
"น่าแปลกนะฮะ เพราะผมว่าผมมีแนวโน้มที่จะลืมเนื้อเพลงนี้ "

หลังจากเสร็จคอนเสริต์ แทยังได้เดินทางไปที่ เกาะเชจู " มันเป็นครั้งแรกที่ผมไปเกาะเชจูเลยครับ
ผมไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นวิวแบบนั้นในประเทศของตัวเอง ภูเขา Halla กระจ่างในความทรงจำ
จริงๆผมวางแผนว่าจะไปดูเกาะ Mara ด้วยฮะแต่ก็ยุติลงที่ เกาะ Woo น้ำที่ใสสะอาดที่ เกาะ Woo นั้น ลืมไม่ลงจริงๆ
ทุกอย่างที่เกาะเชจูนั้นดีมากๆๆ แต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
เพราะผมเป็นห่วงเรื่องที่ผม ต้องปรับตัวเองขึ้นมาใหม่ มันเป็น ทริป 3 วัน 2 คืนสั้นๆ
เพื่อที่จะทำให้ผมไม่ลืมบางสิ่งบางอย่างในตัวเองไปมันกลายเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าผมควรจะออกเดินทางเพื่อ ไม่ลืมความเป็นตัวเอง
ผมออกท่องเที่ยวบ่อยมากในช่วงนี้ ตั้งแต่ได้ใบขับขี่มาและซื้อรถอะครับ
ผมชอบที่จะไปสูดอากาศถ้ามีเวลา แต่ผมก็ไปไหนไกลๆไม่ได้ แต่ผมเคยขับรถไปไกลถึงสนามบิน อินชอนนะฮะ
ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเรื่องซื้อรถฮะ แต่การที่ได้ฟังเพลงไปด้วยขณะที่ขับรถ
มันให้ความรู้สึกใหม่ มันต่างกับตอนที่คุณฟังเพลงในตอนเดิน ครับ"

บางที การที่เรา สะท้อนภาพเค้าออกมาว่ายอดเยี่ยมจะเป็นการด่วนสรุปไปไม๊???
แทยังคิดไตร่ตรองอย่างสงบ สงบเงียบเหมือนดั่งป่าในยามค่ำคืน
บางทีสิ่งที่เค้าต้องการมันจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น ได้รับคำชมที่มากขึ้นอีก
" ผมได้ยินคำชมมามากครับ ผมรู้สึกดีใจมากๆๆตอนที่ได้ยินคำชมของคุณที่ว่า ผมร้องเพลงเหมือน บ้า
แต่ผมมาคิดดูจากนี้และต่อไป จะเป็นยังไงถ้าวันนึงผมขึ้นไปอยู่บนเวที และเมื่อไฟส่องมา กลับไม่มีใครเลย ไม่มีใครซักคน
หรือถ้ามีพวกเค้าก็ไม่ได้สนใจในเพลงของผม ในตอนนั้นผมจะสามารถร้องเพลงที่ออกมาจากใจได้ไม๊???
ในฐานะนักร้องผมควรจะต้องร้องเพลงด้วยความหลงใหลแม้แต่ในสถานการณ์แบบนั้นเหรอ??
แต่ผมก็ยังข้องใจอยู่ดี ว่าผมจะสามารถทำได้ไม๊??

ในขณะที่เรากำลังดูการแสดงบนเวทีของเค้าที่เต็มไปความรู้สึกท่วมท้น
ตัวเค้าเองละ?? เค้าได้รับความรู้สึกแบบนั้นเวลาที่ยืนอยู่บนเวทีนั้นหรือไม่??
ความชื่นชอบของพวกเราในดนตรีของแทยังนั้นมีความเชื่อที่แน่นอนว่าการแสดงของเค้าไม่สามารถที่จะหาได้จากการแสดงทั่วๆไป
(คุณ park ji young ถึงกับพูดว่า แทยังอยู่ในระดับที่เค้าเล่นกับทำนองในการแสดงแล้ว)
แต่แทยัง ก็ยังพูดออกมาด้วยความกลัว มันมีทางแก้ง่ายๆอยู่ทางนึง นั่นคือ เค้าคงจะต้อง แสดงให้เราดูต่อไปเรื่อยๆ
เค้าก็จะสามารถเอาชนะมันได้และพิสูจน์ได้ เค้าอาจจะโกงบ้าง โดยบางครั้งเค้าอาจจะต้องมอบสิ่งที่สาธารณชนชอบออกมาบ้าง
อาจจะเป็นเทปลับ ที่หลุดออกมา เป็นคลิปของเค้าที่กำลังร้องเพลงโชว์ทักษะเต็มที
ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ดาษดื่น ในทุกวันนี้ " อืมมม ผมไม่รู้สินะครับ ถ้าผมต้องการผมคงจะทำมั้งครับ"

แทยังนั้นเป็นคนที่พูดติดอ่าง เมื่อตอนเด็กๆ " มัน...มัน......คือ .... ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้นครับ
ถ้าผมรู้สึกชอบศิลปินคนนั้นจริงๆ และรู้สึกชอบเพลงนั้นจริงๆ ผมถึงจะสามารถร้องมันออกมาได้
แต่การที่จะต้องร้องเพลงยากๆ เพียงเพื่อจะโชว์ให้คนเห็น ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
ผมรู้สึกมาโดยตลอดว่า เพลง เป็นสิ่งที่เอาไว้แบ่งปันความจริงใจและมีความหมายสัมผัสใจคนฟัง
การที่จะต้องร้องเพลงเพื่อ อวดคนอื่น ทักษะความเก่งของคุณและงานของคุณก็ไร้ความหมาย "
มันไม่มีอะไรต้องเถียงเค้าจริงๆ แต่มันเป็นความคิดเห็นที่หายาก ที่มันเข้ามากระทบใจเราอย่างจัง

การร้องเพลงของเค้า ไม่ใช่การที่เค้าสามารถร้องเพลงคีย์สูงไปได้กี่ครั้ง
หรือเค้าสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในคีย์ในเพลง Nothing Better ได้
มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถนำมันไปข่มคนอื่น จริงๆ เค้าอาจจะไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยในการแข่งขัน
แต่เรา ให้หูเราฟังการร้องเพลงของแทยังเพราะ เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเค้าและการที่เค้าใช้เสียงบรรยายความรู้สึก
เป็นเพราะ เค้าไม่ได้ใช้เทคนิคมากมายในการร้องเพลง เพียงเพราะ "มันจะต้องร้องออกมาแบบนี้"
แทยัง ใช้ความพยายามจากใจ จริงใจ และมักจะพาตัวเองให้ร้องเพลง เพื่อความสวยงามเสมอ
เมื่อเราล้อเค้าเล่นว่ามันจะเป็นยังไงนะถ้าเราจะให้เค้าร้องเพลง Creep ไม่ก็ she's gone
ดวงตาของเค้าเริ่มยิ้มก่อน >_< หลังจากนั้นบทสนทนาที่ไม่เป็นผู้ใหญ่เลยจบลง ไป

"ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ชื่อเล่นของผมคือ Ddongbae [พุงพลุ้ย] ไม่ก็ Ddong [มูลสัตว์]
แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น Ddongbae ในตอนนั้นผมเกลียดคำว่าDdongมากกว่า Youngbae
เพราะเพื่อนๆจะล้อตลอดเวลาไม่ว่าจะมีอะไรก็ตาม จนทุกวันนี้ผมยังเจอคนที่มีชื่อ Dong ที่ไม่ใช่ญาตินะครับ
ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเรียบง่ายแค่ไหน ยังไงๆก็จะต้องมีซักคนที่มีชื่อเหมือนกันอย่างช่วยไม่ได้ที่โรงเรียน
ดังนั้นผมจะรู้สึกออกห่างจากคนอื่นและอยู่คนเดียว ในตอนนี้ผมโตขึ้น ผมถึงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องหายาก และเป็นเอกลักษณ์"



อายุ 23 เป็นช่วงอายุที่เป็นเวลาที่คุณจะได้รู้บางสิ่งแต่ก็ยังไม่รู้ในบางสิ่งด้วยเช่นกัน
เรื่องแบบนี้เป็นเหมือนกันในทุกๆคน แต่ไม่ใช่ทุกๆคนที่จะนำเรื่องนี้มาคิดอย่างลึกซึ้ง
" ผมรู้ข้อเสียของผมดีมากๆๆ เมื่อก่อนผมจะกลัวมากๆๆว่าใครจะมารู้เข้า
แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเปิดใจ และผมก็เปลี่ยนไปมากในช่วงเปิดตัวอัลบั้มและโปรโมทอัลบั้มครับ
ผมยังคงเป็นเด็กอยู่ และผมก็คิดว่าเพียงอายุเท่านี้ มันไม่เป็นไรหรอกที่จะแสดงออกว่าเรากำลังดื้นรนเพื่อบางสิ่งบางอย่าง
ผมคิดว่าอัลบั้มเดี่ยวครั้งหน้าคงต้องอาศัยการทำยาวนานกว่านี้มากแน่ๆ
ผมพยายามอย่างหนักในอัลบั้มชุดนี้และมันยังใช้เวลานานขนาดนี้ และอีกครั้งที่ผมคิดว่าถ้าผมเปลี่ยนความคิดใหม่
จริงๆมันไม่ต้องเป็นอัลบั้มก้ได้ อาจจะออกเป็นซิงเกิลและโปรโมทไปก่อน
ซึ่งเมื่อปีก่อนที่ผมทำกับเพลง wedding dress ก็ดีไม่น้อย ในตอนนั้นมันรบกวนผมในความคิดที่ว่าผมทำอัลบั้มเต็มออกมาไม่ได้
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปเพลงนั้นเป็นเพลงที่ดี ไม่มีอะไรเสียหายเลย ( ในบรรดาเพลงในอัลบั้ม)
ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันไม่เลวทีเดียว

ก่อนที่อัลบั้ม solar จะวางแผง แทยังแทบไม่ได้ออกจากสตูดิโอเลย
มันร้ายแรงถึงขนาดที่ เจ้านายของเค้ายังผลักดันเค้าให้ออกไปพบผู้คนบ้าง
ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องไปแนะนำเค้าอีก ผมก็คงทำได้แค่บอกด้วยความหวังดีว่า
มันคงจะดีไม่ใช่เหรอถ้าเค้าได้ทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างมีอิสระ
" ผมเป็นนักร้องครับไม่ใช่โปรดิวเซอร์ ดังนั้นผมชอบที่จะแสดงบนเวทีมากที่สุด
การได้อยู่บนเวทีมันสนุกกว่าจะไปมุ่งเรียนรู้ในสาขาใดสาขาหนึ่งเกินไปนะครับ
ผมอดทนและสามารถอยู่ในสตูดิโอได้เพราะคิดว่าจะได้ไปแสดงบนเวทีทีหลังอะครับ"

งั้นเค้าก็น่าจะออกไปอยู่นอกสตูดิโอบ่อยๆสิว่าไม๊???
" ความคิดของผมคือ เป็นเพราะ ข้างนอก มีเนื้อเพลงและทำนองมากมาย ดังนั้นผมเลยคิดว่าผมควรจะท่องเที่ยวให้มากขึ้น
และผมก็จะจดบันทึกลงไปใน iphone ของผม บางทีถ้าผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกมากขึ้น
ผมก็อาจจะเขียนเพลงได้มากขึ้น แต่เป็นเพราะธรรมชาติของผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
มันเลยต้องใช้เวลาอย่างมากและความพยายามอย่างมากกว่าจะคิดออกมาได้แต่ละเพลง"

ในยุคสมัยที่ทุกคนต่างก็เรียกร้องอยากให้คนสนใจ ในยุคสมัยที่น่าตลกอย่างมากเมื่อ
ดนตรีจะได้รับความนิยมได้นั้นไม่เกี่ยวกับยอดขายหรือตัวคนดัง
แทยังกล่าวว่าเค้าต้องการใช้เวลาให้มากขึ้นอีก " พูดตามตรงนะครับ บุคคลิกของผมไม่เหมาะกับยุคนี้หรือกระแสในยุคนี้เลยจริงๆ
คุณต้องทำอะไรอย่างรวดเร็วและต้องทำอะไรอยู่ตลอดเวลา แต่ในการที่ผมจะอธิบายบางสิ่งบางอย่างออกมาให้สมบูรณ์ที่สุดนั้น
ผมจำเป็นจะต้องมีประสบการณ์มากกว่านี้ และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผมต้องการเวลาให้กับตัวเองมากกว่านี้ "
เราถามเค้าอีกทีว่าเค้าอายุเท่าไหร่ และจู่ๆเราก็สงสัยว่าเค้าอายุ 27 แล้วรึเปล่า??
แทยังกล่าวว่า " ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ผมดูอายุเท่าไหร่กัน??"

ทางเราถามชายหนุ่มผู้มีความจริงจังผู้นี้ด้วยคำถามเด็กๆปิดท้ายการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ 2 คำถาม
และทั้งสองคำถามนี้เกี่ยวกับคำว่า "เมื่อไหร่" คำถามแรกคือ "เมื่อไหร่ที่เค้าจะมีความสัมพันธ์ในแบบโรแมนติกๆซักที"
และคำถามที่สอง " เมื่อไหร่ที่เค้าจะต้องไปรับใช้ชาติ??"

"ในเรื่องความสัมพันธ์ ผมพยายามที่จะเริ่มพบปะผู้คนให้มากขึ้นครับ เริ่มจากผู้คนที่อยู่รอบๆตัวผม
ผมมีความรู้สึกว่าผมต้องการที่จะรู้จักคนให้มากๆ และแน่นอนผมจะต้องไปเกณฑ์ทหารครับ
แต่ผมอธิษฐานอยู่ทุกวันให้การรวมชาติเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนะครับ "

เราคงไม่ต้องอธิบายถึงความรู้สึกของเค้าเพิ่มเติมอีกแล้วหลังจากที่ได้ยินเค้าพูดแบบนั้น ใช่ไม๊??

โดย Jang Woo-Chul/Editor


Eng Translations by Sylvia@ALWAYSTAEYANG.COM
Thai Translation by undercover @ VIPP @ Choitopthailand

0 comments:

แสดงความคิดเห็น