Flag Counter

free counters

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

[Trans] สัมภาษณ์ G-dragon จาก สมุดภาพ Electric love tour



คุณเริ่มฟังเพลงเมื่อตอนอายุเท่าไหร่??
ในตอนนั้นผมเป็นนักเรียนชั้นประถมครับ มีคุณพ่อของเพื่อนคนนึงทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ในรายการเพลงทางทีวี
และผมก็ได้มีโอกาสไปที่บ้านของเค้า ที่นั่นมีเพลงมากมายหลายอัลบั้มของศิลปินในระดับสากล
ผมได้ยินเพลง hiphop เป็นครั้งแรกที่นั่นและผมก็เหมือนกับช็อคไปเลย

เหมือนกับว่า " มีเพลงแบบนี้ในโลกด้วยเหรอเนี้ย??? " แบบนั้นเลยใช่ไม๊??
ผมเคยฟังแต่เพลง ป็อปของเกาหลีจนกระทั่งได้มาฟังเพลงhiphop แบบนั้นครับ
ดังนั้นผมเลยแบบว่า " ทำไมเพลง hiphop ถึงถูกเรียกว่าเป็นเพลงที่ดีได้ละ ?? ผมไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศพวกนี้ด้วยซ้ำ "
ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าดีนักดีหนา ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ฮะ
แต่หลังจากที่ผมได้ฟังเพลงที่มีชื่อว่า C.R.E.A.M ของ Wu Tang Clan
ซึ่งในตอนนั้นพวกเค้าเป็นวง hiphop ที่โด่งดังที่สุดที่อเมริกา
มันทำให้วิศัยทัศน์ในเรื่องดนตรีของผมกว้างไกลขึ้นทันทีทันใดเลยฮะ

งั้นอุปสรรคในเรื่องของภาษาก็ไม่มีปัญหาสินะ??
แน่นอนฮะ ผมไม่รู้ความหมายของเนื้อเพลงเลยหรือแม้แต่ไม่รู้ว่าการออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้องเป็นยังไง
แต่ผมไม่สนใจในเรื่องพวกนั้นหรอกครับ เพราะ เสียงของดนตรีนั้นมัน เจ๋ง มาก
ผมมีทั้งเทป และซีดี และผมก็ฟังบ่อยมากจน ทั้งเทปและซีดีเสียไปเลย
ผมจะร้องตามไปด้วยเท่าที่ผมเข้าใจว่าพวกเค้าออกเสียงมายังไง
นอกจากนี้ ผมต้องการที่จะโชว์ให้เพื่อนๆเห็นว่าผมจำเนื้อเพลงได้ทั้งหมด
ดังนั้นผมจึงร้องเพลงนี้บนเวทีด้วย ในงานที่คล้ายๆกับงานโรงเรียน

ผมคิดว่าทุกคนจะต้องร้อง "ว้าว" และมาชื่นชมผมแน่ๆ แต่พวกเค้ากลับรับมันไม่ค่อยได้
ในทางตรงกันข้าม พวกเค้ายืนจ้องผมโดยที่ทำหน้าเหมือนกับ
" มันร้องอะไรของมันเนี่ย?? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย " แบบนั้นครับ (หัวเราะ)

อ่า!!! แย่เหมือนกันนะเนี้ย แต่เราคิดว่าคุณแตกต่างจากเพื่อนๆที่โรงเรียน
ถ้าพิจารณาถึงว่า คุณคงเป็นนักเรียนชั้นประถมคนเดียวที่ฟังเพลงจากฝั่งตะวันตก

ครับ แต่เพื่อนๆที่รับกับเพลงแบบนั้นไม่ได้ในตอนเด็กๆๆ ในตอนนี้กลับโทรมาหาผมและบอกว่า
" ฉันควรจะฟังเพลงกับนายนะในตอนนั้น" (หัวเราะ)

งั้น ความเปิ่นๆ ของคุณก็เริ่มชัดเจนมาตั้งแต่ในตอนนั้นแล้วใช่ไม๊?? (หัวเราะ)
ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยผมยังเป็นเด็ก ผมรักที่จะทดลองในสิ่งที่คนอื่นยังไม่เคยรู้มาก่อนแล้วละฮะ
ซึ่งผมคิดว่ามันเยี่ยมมาก จริงๆแล้ว สิ่งแรกที่ผมเริ่มทำคือ การเต้น
ผมรักที่จะเต้นไปกับเสียงเพลงไม่ก็เต้นไปกับรายการในทีวี
เราต่างก็ชอบที่จะกระโดดโลดเต้นไปเรื่อยในตอนที่เรายังเป็นเด็กใช่ไม๊ฮะ?? ผมคิดว่าผมรู้สึกสนุกเวลาที่ได้เต้น
คุณแม่ของผมเห็นผมชอบเต้นเลยพาผมไปออดิชั่นหลายที่ครับ ซึ่งพวกเค้าก็รับผมเข้าไปทุกที่เลย



==============

งั้นคุณแม่คือคนแรกที่มองเห็นพรสวรรค์ของคุณใช่ไม๊??
คุณแม่เล่าว่าผมจะเต้นต่อหน้าผู้คน แม้ว่าในห้องนั้นจะมีคนดูอยู่แค่ สองหรือสามคน ผมก็ยังเต้นอยู่
คุณแม่บอกว่าผมชอบที่จะให้ความบันเทิงแก่คนอื่นมากๆ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะให้ผมได้เข้ามาในวงการบันเทิง
ผมคิดว่า คุณแม่ยอดเยี่ยมกว่าผมหลายเท่าครับ(หัวเราะ)

เมื่อไหร่ที่คุณได้ออกทีวีเป็นครั้งแรก ??
ตอนนั้นผมอายุได้ประมาณ 6 ขวบครับ มันเป็นรายการโชว์ที่จะเล่นเกมส์กับเด็กๆมากมาย
ย้อนกลับไปในตอนนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำเลย แต่คุณแม่บังคับให้ผมไป
ผมชอบที่จะออกทีวี แต่ผมต้องการที่จะอยู่กับเพื่อนๆหรือกินขนมไปเรื่อยๆถ้าผมมีเวลาว่าง (หัวเราะ)
ผมไม่ชอบที่ผมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะต้องไปทำงานและเวลาที่จะเล่นกับเพื่อนๆก็จะต้องน้อยลงไป
ผมเริ่มที่จะคิดว่ามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ผมก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะสนุกไปกับช่วงเวลาที่ผมมี

คุณเป็นคนที่มีบุคคลิกยังไงเมื่อตอนยังเป็นเด็ก??
ผมเคยเป็นเด็กที่ขี้กลัวมากๆและขี้อาย เป็นคนที่คอยเดินตามหลังคุณแม่อยู่ตลอดเวลา
แต่ที่เดียวทีผมจะมีความมั่นใจมากๆๆนั่นคือ บนเวที ได้เต้น
ผมเปลี่ยนมาเป็นคนที่กระตือรือร้นนับตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่ที่บริษัท วายจี
บริษัทที่ผมสังกัดอยู่ในปัจจุบัน ตอนอายุได้ 12 ปี

จากนั้น คุณก็เริ่มที่จะมีแนวทางของตัวเอง??
ผมเริ่มที่จะแสดงออกในทางที่ผมต้องการให้เรื่องมันเป็นไปในแบบของผม
เช่นการเสนอไอเดียของตัวเองหลังจากที่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในแนวทางของดนตรีในแบบนี้
ในตอนแรกคุณแม่ต้องการให้ผมเรียนในชั้นมัธยมก่อน
แต่หลังจากที่เธอยอมรับว่าผมมีความสนใจอย่างแรงกล้าในเสียงเพลง
เธอก็กลายเป็นบุคคลที่ให้การสนับสนุนผมมากที่สุด

แต่ดูเหมือนว่ามันจะใช้เวลายาวนานเกินกว่าที่คุณได้คาดการณ์ไว้กว่าที่คุณจะได้เดบิว ใช่ไม๊??
ผมเป็นศิลปินฝึกหัดมา 6 ปีและใช้เวลาไปกับการมีส่วนร่วมในอัลบั้มของรุ่นพี่
ผมคิดกับตัวเองว่า ถ้าในที่สุดผมได้เดบิว ผมควรที่จะท้าทายตัวเองด้วยความมั่นใจ
โดยที่ไม่รู้สึกแปลกๆๆหรือรู้สึกผิดที่ผิดทาง

ดังนั้นคุณคงดีใจมากเลยที่ในท้ายที่สุดคุณก็ได้เดบิวในนามของ บิกแบง??
ในตอนที่ผมเพิ่งจะเดบิวมันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มันท่วมท้นเข้ามามากมายไม่ใช่แค่รู้สึกดีใจเท่านั้นฮะ
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ชื่อของ จีดราก้อน ก็เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว
และยังได้ถูกประกาศให้เป็นวงไอดอลวงแรกของค่าย วายจีอีก
ดังนั้นมีความคาดหวังมากมายในตัวของพวกเรา นอกจากความคาดหวังแล้ว แน่นอนยังมีคำวิจารณ์เข้ามามากมาย
แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกวง 5 คนแข็งแกร่งขึ้นและสนิทกันมากขึ้น
เราคิดว่า " เอาละ เราจะทำให้คนเห็นมากกว่าสิ่งที่เค้าคาดหวังจากเราให้ได้ เราจะทำให้ ชื่อ บิกแบงเป็นที่ภาคภูมิใจ "
และเราก็ทำงานให้หนักมากขึ้นอีกตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ คุณเป็นหัวหน้าวงด้วย
คุณรู้สึกว่ามีความกดดันมากขึ้นไม๊ในการรับตำแหน่งนี้??

ในตอนที่เราฟอร์มวงแรกๆ ผมรู้สึกหมดหวังจริงๆในการที่จะทำให้ช่องว่างระหว่างวัยระหว่างสมาชิกมันแคบลง
แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ยากขนาดนั้นหรอกในการที่จะเป็นหัวหน้าวง บิกแบง


================

วงบิกแบงเป็นวงที่สมาชิกทั้ง 5 คนของวงล้วนแล้วแต่มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเอง
ครับ และนี่เป็นสิ่งที่ผมชอบมากในความเป็นเรา
แต่ละคนล้วนเข้าใจอย่างถ่องแท้ในบทบาทของตัวเองในงานที่ต้องรับผิดชอบ
แม้ว่าผมอธิบายในเรื่องของรายละเอียดไปแค่นิดหน่อย พวกเค้าก็รู้แล้วว่าพวกเค้าควรจะทำให้มันออกมาในรูปแบบไหน
แน่นอนว่า มันก็ต้องมีเรื่องของความขัดแย้งและทะเลาะกันบ้างกว่าที่เราจะได้ข้อสรุปมา
ผมหมายถึงว่ากว่าเราจะมาสู่จุดที่เราเชื่อใจกันได้ขนาดนี้

อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะกันบ้าง ลองยกตัวอย่างหน่อย??
ยกตัวอย่างเช่น มีบางคนไม่ชอบที่ผมจะทานข้าวไปด้วยในระหว่างพับผ้าที่เพิ่งซักเสร็จครับ ....(หัวเราะ)
เราต่างใช้ชีวิตอยู่ในอพาร์ตเม้นซ์เดียวกัน และใชชีวิตด้วยกัน
เมื่อมานั่งนึกในตอนนี้เราทะเลาะกันเยอะมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เราถึงกับเมินที่จะแก้ปัญหาและปล่อยให้มันทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเราในฐานะเป็นวงเดียวกัน
จนเราตระหนักได้ว่ามันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยนอกจากทำให้เรารู้สึกเลวร้ายต่อกัน
ดังนั้นหลังจากนั้นเราก็ไม่ทะเลาะกันอีกเลย

คุณเคยทะเลาะกันในกรณีที่มีความคิดเห็นที่ต่างกันในเรื่องของภาพลักษณ์หรือสไตล์เพลงของบิกแบงบ้างไม๊??
ไม่ครับ ไม่เคยเลย เราทั้ง 5 คนเห็นด้วยกับไอเดียในเรื่องของเพลงและการแสดงของบิกแบงทุกครั้งครับ
แน่นอนว่าทั้งห้าต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีศิลปินคนโปรดต่างกันไป
และชอบเพลงที่แตกต่างกัน และเราก็ใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน
แต่เรากลับมีสไตล์ที่เหมือนกันอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเรามาอยู่ร่วมกัน ในนามของบิกแบง
ต้องขอขอบคุณมากๆด้วยที่เรา สามารถแสดงออกสิ่งที่เราต้องการอยากจะทำในงานเดี่ยวของแต่ละคน
มีคำสุภาษิตของเกาหลีกล่าวว่า " ยิ่งทะเลาะกันมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งรู้จักกันมากขึ้น "
อย่างเราเราทะเลาะกันมามากเราเลยรู้ว่าคนอื่นๆในวงคิดอะไร
เราสนิทกันมากจนตอนนี้เหมือนกับเป็นคนในครอบครัวไปแล้ว

มันเหมือนกับเป็นการสื่อสารประเภทหนึ่งที่ทำให้พวกคุณสนิทกัน??
ท้ายที่สุด ใช่ ครับ ผมคิดว่าเราเริ่มการทะเลาะของพวกเราเมื่อเรามีเรื่องเข้าใจผิดระหว่างกัน
จริงๆแล้วเราก็ไม่ชอบหรอกฮะ แต่สมาชิกวงบิกแบงทุกคนล้วนแล้วแต่กลัวคนแปลกหน้า
แม้กระทั่งในตอนนี้เราก็ยังเครียดอยู่ ในตอนที่เราเจอกับใครเป็นครั้งแรก
ไม่งั้นเราก็จะแกล้งทำเป็นเงียบขรึมหรือทำตัวเท่ๆ (หัวเราะ)
แต่จริงๆแล้วพวกเราชอบเล่นไปเรื่อยและตลกกันมากครับ เราเก่งเลยละฮะเรื่องเล่นตลกเนี่ย

งั้นคุณก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุ 20 ทั่วๆไป??
ครับ แต่ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถม ผมคิดว่าผมไม่สนุกกับการปล่อยมุขหรือเล่นกลอะไรทั้งนั้น
ดังนั้นจึงมีเพื่อนบางคนที่จะกลัวผมหรือบางคนถึงกับร้องไห้เพราะผม (หัวเราะเศร้าๆ)
จริงๆแล้วผมเปลี่ยนโรงเรียน 4-5 ครั้ง
ดังนั้นการพูดคุยสื่อสารกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการที่จะเข้ากับเพื่อนๆของผมได้เร็วขึ้น
ผมมีเพื่อนใหม่มากมายทุกครั้งที่ผมเปลี่ยนโรงเรียน ดังนั้นผมจึงเป็นคนมีเพื่อนมากเมื่อเทียบกับคนอื่น

ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน คุณมันจะเป็นคนที่มีแต่คนรู้จักและอยู่ในความสนใจตลอดเลยไม๊??
ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมเป็นคนดังไม๊?? แต่ผมมักจะเป็นคนนำเพื่อนๆด้วยความมั่นใจเสมอ

การที่จะต้องถูกร่ายล้อมไปด้วยสิ่งที่ใหม่ๆ ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกเหงาหรือ?? คุณรู้สึกท้อแท้บ้างไม๊??
ไม่เลยครับ จริงๆผมรู้สึกสนุกด้วย ผมไม่ชอบที่จะติดกับอยู่ในที่เดิมๆ
เหมือนกับตอนนี้ ใจผมเต้นแรงเวลาที่ผมได้ไปในที่ที่ผมไม่คุ้นเคย
ย้อนกลับไปในตอนนั้นและรวมถึงในตอนนี้ด้วย ผมชอบที่จะรู้จักในสิ่งใหม่ๆด้วยการใช้ร่างกายของผมมากกว่าใช้สมองวัดครับ

ว้าวว งั้นย้อนกลับไปการพูดคุยก่อนหน้านี้นิดนึง มีสมาชิกวงบิกแบงคนไหนที่กลัวคุณบ้างไม๊??
น่าจะมีนะครับ (หัวเราะ) แต่ตอนแรกที่ผมเจอแทยังผมคิดว่าเค้าน่ากลัว
เค้าเป็นคนที่แตกต่างจากผมมาก และตอนนี้ดูเหมือนเราจะสลับบุคคลิกกัน
ผมจะเป็นคนที่มักจะสนใจแต่ตัวเองเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก
แต่ดูเหมือนแทยังจะเป็นแบบนั้นในตอนนี้ ตอนนี้เราไม่มีข้อขัดแย้งอะไรต่อกันเลย
เพราะเราร่วมใช้เวลาทั้งทุกข์และสุขร่วมกันตั้งแต่เมื่อครั้งที่เราเป็นศิลปินฝึกหัดด้วยกัน
เรารู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรแค่มองหน้ากันก็รู้แล้วถ้าจะให้คำนิยามของคำว่า "เพื่อนสนิท" สำหรับผมแล้ว
ผมจะบอกว่า เพื่อนสนิทคือคนที่จะต้องเข้าใจกันและกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดก้ได้
สำหรับผมแล้ว สมาชิกวงบิกแบงทุกคนคือครอบครัวของผม และยังเป็นเพื่อนสนิทด้วย
เป็นคนที่ยอดเยี่ยม เป็นคนที่มีสายสัมพันธ์ต่อกัน คนที่รับในตัวตนของผมได้
และคนที่ผมเคารพ จากก้นบึ่งลึกๆของหัวใจ




===================
ผมได้ยินคำชมที่แสนจะยอดเยี่ยมและผลตอบรับในแง่ดีๆมากมาย
แต่ผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงมัน เพราะถ้าผมเอาแต่ฟังแต่ผลตอบรับที่ดี ผมคิดว่าผมอาจจะเหลิงได้

===================

งั้นคุณคิดว่าตอนนี้คุณเป็นคนยังไง??
เป็นคนธรรมดาครับ คิดถึงสีผ้าใบที่จะมีสีไปตามสีที่เราจะระบายลงไป แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง
ผมฝันว่าผมจะเป็นคนแบบนั้นและผมกำลังพยายามที่จะเป็นคนแบบนั้น
ผมคิดว่าผมอยู่ในช่วงที่จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่
รูปร่างในใจของผมผมยังไม่มีความสมบูรณ์แบบในฐานะคนคนนึง แต่ผมคิดว่ารูปที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ ก็ไม่ได้แย่อะไร

มันเหมือนกับว่าคุณที่อยู่บนเวทีกำลังแสดงอยู่นั้น เท่และดุดัน
และมีภาพลักษณ์ที่เราไม่สามารถจะเข้าถึงตัวคุณได้ง่ายๆ
แต่ในการให้สัมภาษณ์ คุณเหมือนกับเด็กผู้ชายที่มีความไร้เดียงสากับรอยยิ้มที่สดใส เป็นเด็กที่เป็นมิตรมากๆ

เป็นอย่างงั้นแน่ๆแหละครับ คนที่อยู่บนเวทีกับคนที่อยู่ข้างล่างเวทีนั้นเป็นคนสองคนที่แตกต่างกัน
ตอนที่ผมลงจากเวทีผมก็จะเปลี่ยนเป็นตัวผมจริงๆ ผมไม่ชอบทำตัวให้เป็นคนดัง
แต่ยังไงก็ตามแต่ ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่จะทำการแสดงบนเวทีออกมาให้สมบูรณ์แบบ
หรือ พูดอีกอย่างคือ ผมคิดว่ามันสำคัญมากที่ผมจะต้อง " แสดงให้เหมือนกับอยู่บนเวที" เมื่อเราอยู่บนเวที
และทำให้การแสดงมีคุณภาพให้เหมาะสม ผมคิดว่าผมเริ่มที่จะระมัดระวังมากๆบนเวที
เหมือนกับที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้เพราะผมเคยมีประสบการณ์แย่ๆ ในตอนที่ผมทำตัวเหมือนเป็นเด็กบนเวที
และคนก็พูดว่า " เค้าก็แค่เด็กคนนึง" ดังนั้นผมคิดว่าผมต้องเช็ค ตรวจสอบทุกอย่างที่ผมทำและรับผิดชอบในทุกๆสิ่ง
ซึ่งจริงๆผมไม่ทันรู้ตัวเลยตัวซ้ำว่าผมมักจะแสดงออกลักษณะที่เหมือนเด็กเล็กๆอยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนที่ให้สัมภาษณ์นี้ ผมยังพูดเหมือนกับว่าผมกำลังแร๊พอยู่
และตอนที่เดินไปตามท้องถนนขาแขนของผมก็อยู่ไม่นิ่งเหมือนกับกำลังเต้นอยู่เลย (หัวเราะ)
มันกลายมาเป็นนิสัยของผมไปแล้วผมเคยชินที่จะทำแบบนี้

ท่วงทำนองและเสียงเพลงได้เข้าไปครอบครองร่างกายของคุณแล้วละ ยังไงก็ตาม
คุณรู้สึกยังไงเวลาได้ยินเสียงเชียร์และเสียงกรี๊ดจากแฟนๆชาวญี่ปุ่น??

จริงๆแล้ว มันแปลกมากเลยครับ ผมรู้สึกประหลาดใจมากๆที่รู้ว่ามีคนมากมายที่รู้จักเรา
และผมรู้สึกดีใจมากที่แฟนๆชาวญี่ปุ่นร้องเพลงตามไปด้วยเวลาที่เราร้องเพลงแม้ว่าเพลงนั้นจะเป็นเพลงภาษาเกาหลีก้อตาม
มันมีการวางกฏข้อห้ามเอาไว้ ดังนั้นเราไม่สามารถที่จะเข้าไปใกล้ชิดแฟนๆได้เท่ากับที่เราทำที่เกาหลี
มันน่าเศร้ามากฮะ เหตุผลที่ผมคิดว่า ความห่างระหว่างแฟนๆกับพวกเรามีความสำคัญมากๆ
เพราะตอนที่ผมยังเป็นเด็ก ผมจะดีใจมากเมื่อศิลปินคนโปรดบนเวทีมาสัมผัสผม
ผมคิดว่าผมไม่สามารถที่จะลืมความรู้สึกนี้ได้เลยตลอดชีวิตนี้
ดังนั้นผมก็อยากที่จะทำให้แฟนๆรู้สึกแบบเดียวกับผมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

อะไรที่คุณต้องการมากที่สุดในตอนนี้
อิสรภาพครับ

(หัวเราะ) โอเค งั้นอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ
น่าจะเป็น เพื่อนของผมครับ ผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้นในตอนที่ผมทำงานเพลง เพราะผมมีบิกแบง
และไม่ใช่แค่บิกแบงเท่านั้นนะฮะผมยังมีเพื่อนคนอื่นๆอีกมากมายและพวกเค้าล้วนแล้วแต่ทำให้ผมรู้สึกเข้มแข็ง
ขนาดในเรื่องของความรัก ผมก็ทำความสัมพันธ์ระหว่างเราให้เหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทกัน
ผมมีคนที่น่าหลงใหลน่าดึงดูดมากมายรอบตัวผม บางทีผมอาจจะถูกพวกเค้าดึงอยู่ก็เป็นได้

คุณมีความฝันหรือจุดมุ่งหมายอะไรไม๊ ในเรื่องอนาคตของบิกแบงหรือตัวคุณเอง?? .
ผมไม่ต้องการที่จะพยายามหรือคว้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาให้ได้หลายๆอย่างในคราวเดียว
ผมอยากที่จะเติบโตไปพร้อมกับแฟนๆ หลังจากที่ผ่านเวลามาหลายปี
บางทีอีก 10 ปีข้างหน้า พวกเค้าอาจจะคิดว่า " บิกแบงนั้นสุดยอดที่สุด ฉันไม่สามารถที่จะลืมเพลงของพวกเค้าเลย"
เหมือนกับครั้งแรกที่ผมได้ฟังเพลง hip hop ผมต้องการที่จะให้วงของเราเป็นวงที่สร้างความประทับใจให้กับผู้คน
สำหรับผม ผมต้องการที่จะเป็นคนกระตือรือร้นตลอดเวลา
ผมไม่เคยที่จะตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่อันดับ 1 ตลอดเวลา แต่ผมก็ไม่ชอบที่จะต้องอยู่ในอันดับ 2
ถ้าผมรู้แบบนี้ตั้งแต่ต้นผมจะไม่เริ่มต้นทำเลยตั้งแต่แรก
เป้าหมายสำหรับชีวิตของผมคือ ผลที่ออกมาจะต้องเป็นผลที่ดีที่สุดที่ผมสามารถที่จะยอมรับมันได้
นอกจากนี้ผมยังอยากที่จะมีประสบการณ์ในเรื่องใหม่ๆอีกหลายเรื่อง ท้าทายตัวเองในดนตรีที่หลากหลายสไตล์มากขึ้น
ดังนั้นบางทีในอีก 10 ปีข้างหน้าผมอาจจะเจอสิ่งที่เหมาะสมกับผมมากที่สุดก็เป็นได้
ผมต้องการที่จะทำเพลงที่สามารถทำให้คนมีความฝัน ทำให้คนมีความสุข หรือเพลงที่ปลอบประโลมผู้คนเวลาที่พวกเค้าเศร้าใจ

สุดท้ายแล้วช่วยฝากอะไรให้กับผู้อ่านด้วย
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ
ผมรู้สึกดีใจมากที่การสัมภาษณ์นี้จะเปิดโอกาสให้เราบอกในสิ่งที่เราคิดให้พวกคุณได้รับรู้
ทั้งในนามของบิกแบงและในนามของตัวผมเอง ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะได้รู้จักเรามากขึ้นจากการแสดงสดต่างๆ
ดังนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผมจะสามารถพบกับพวกคุณอีกครั้งในการแสดงคอนเสริต์ครั้งหน้านะครับ

Source: Big Bang?s Electric Love Tour Photobook
Japanese to Korean translation: DCGD
Korean to English translation: HuisuYoon@21BANGS.com
Edited by: mizz_julie@21BANGS.com
Thai Translation by undercover @ VIPP @ Choitopthailand


0 comments:

แสดงความคิดเห็น